กูรูลั่นกำไร ‘แบม’ พ้นต่ำสุด จับตา ‘กองทุน’ เก็บหุ้นเพิ่ม
นักวิเคราะห์มั่นใจผลประกอบการ BAM ผ่านจุดต่ำสุด แนะเข้าเก็บหุ้นหลังราคาร่วงแรงต่ำสุดรอบ 3 เดือน เชื่อหุ้นยังเป็นเป้าหมายของกองทุน ขณะที่ยอดขายสินทรัพย์มีแนวโน้มฟื้นตัวหลังกรมบังคับคดีกลับมาดำเนินงาน
ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บมจ.บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ หรือ BAM หลังเปิดตลาดซื้อขายเช้านี้ (31 ส.ค.) ราคาหุ้นลดลงไปแตะจุดต่ำสุดที่ 23 บาท หรือลดลงราว 6% จากวันก่อนหน้า ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน โดยสาเหตุหลักถูกกดดันจากผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2563 ซึ่งรายงานกำไรสุทธิที่ 136 ล้านบาท ลดลง 82% จากปีก่อน
นายธนัฐภัทร์ สุขศรีชวลิต นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ราคาหุ้น BAM ที่ย่อตัวลงมาเป็นผลจากผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2563 ที่ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดมองไว้ 80% โดยหลักเป็นผลจากรูปแบบการบันทึกรายได้ของบริษัท แม้จะมีเงินสดเข้ามาในบริษัทจริง แต่ไม่สามารถรับรู้รายได้ได้ ด้วยเหตุผลจากการเปลี่ยนมาตรฐานบัญชีและเหตุการณ์โควิด-19 ที่เข้ามากระทบ
“ในความเป็นจริง BAMยังเก็บเงินสดเข้ามาได้ราว 2,700 ล้านบาท แม้จะต่ำกว่าปีก่อน 6%และต่ำกว่าไตรมาสแรก 14%แต่ยังสูงกว่าที่ตลาดมองคาดไว้ว่าจะลดลง 20% ในขณะเดียวกันบริษัทรับรู้ต้นทุนเข้ามาทั้งหมด”
สำหรับแนวโน้มในอนาคตของ BAM น่าจะค่อยๆ ฟื้นตัวได้ หลังจากลูกค้าเริ่มกลับมาจ่ายเงินได้ตามปกติ รวมถึงกรมบังคับคดีกลับมาเปิดได้ปกติเช่นกัน คาดว่าผลประกอบการน่าจะกลับไปใกล้เคียงกับไตรมาส 1 ที่ผ่านมา สำหรับโครงสร้างธุรกิจโดยภาพรวมยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
“หลังจากที่กลับมามีการประมูลทรัพย์ในเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา เริ่มเห็นสัญญาณการขาย NPAกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง และด้วยกระแสเงินสดของบริษัทที่ไม่ได้มีปัญหาใดๆ ยังคาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลได้ที่ 1 บาทต่อหุ้น ตามที่ตลาดคาดการณ์กันไว้ก่อนหน้านี้”
ด้าน นายอนุวัฒน์ ศรีขจรรัตน์กุล นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผยว่า การอ่อนตัวลงของราคาหุ้น BAM เป็นโอกาสสะสม แม้ว่าผลประกอบการไตรมาสนี้จะแย่มาก แต่ BAM ยังเป็นเป้าหมายการลงทุนของกองทุน อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ทยอยซื้อ เพราะขณะนี้ตลาดยังมีมุมมองเชิงลบต่อราคาหุ้น
“สิ่งที่พอจะยืนยันได้สำหรับหุ้น BAM คือ กำไรน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่ความเสี่ยงที่สำคัญคือประมาณการของตลาดยังยืนอยู่ในระดับสูง ซึ่งน่าจะเป็นเพราะว่านักวิเคราะห์ส่วนมากรอพิจารณาข้อมูลเพิ่มเติมจากการประชุมกับบริษัทก่อน ส่วนมุมมองของเราล่าสุด ปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 27.50 บาท จาก 29.50 บาท โดยผลประกอบการครึ่งหลังน่าจะยังแค่ทรงตัว”
ด้านนายธนภัทร ฉัตรเสถียร นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า สาเหตุหลักที่ทำให้งบไตรมาส 2 แย่กว่าที่คิดไว้เป็นเพราะว่าการปิดกรมบังคับคดี แต่หลังจากที่เริ่มเปิดทำการตั้งแต่ต้นเดือน มิ.ย. ทำให้ครึ่งปีหลังจะเห็นรายได้ของบริษัทกลับมาดีขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทได้ลดส่วนของราคาขายหลักทรัพย์รอการขาย ทำให้ NPA น่าจะขายได้ง่ายขึ้น และหนุนให้รายได้และกำไรในส่วนนี้น่าจะดีขึ้นตามมาด้วย
ส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตกว่า 1.3 พันล้านบาท เป็นผลจากการปรับมาตรฐานบัญชีมาเป็น TFRS9 ซึ่งทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นจากมาตรฐานบัญชีใหม่ โดยเป็นส่วนที่ยังไม่ได้รับเงินจริง ก็บันทึกเพิ่มมาเป็นรายได้ ขณะเดียวกันบริษัทจึงตั้งสำรองในส่วนที่ยังไม่ได้รับชำระเข้ามา เพื่อให้รายได้ที่เพิ่มขึ้นตามมาตรฐานบัญชีใหม่ไม่กระทบรายได้และกำไร
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก