ตลาดหุ้นยังพักฐานอยู่ครับ ใจเย็นๆ ค่อยๆซื้อไม่ต้องรีบ
KS Daily View 26.01.2021 >>> ตลาดหุ้นยังอยู่ในช่วงพักฐาน สัปดาห์นี้ประเมินกรอบแนวรับแรกที่ 1, 480 จุด+/- แนะลงทุนหุ้นขนาดกลางอย่าง PRM
สัปดาห์นี้นอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานอย่างการรายงานผลประกอบการของหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ (MSFT, FB, AAPL) อีกหนึ่งปัจจัยทีสำคัญหนีไม้พ้นการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 26-27ม.ค. ถึงแม้เราคาดว่าที่ประชุมจะยังไม่ส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใดๆ กล่าวคือคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0-0.25% ตามเดิม พร้อมคงวงเงินเข้าซื้อพันธบัตร 1.2แสนล้านเหรียญต่อเดือน รวมถึงยังไม่มีการส่งสัญญาณปรับลดขนาดงบดุล คาดว่าส่วนหนี่งเพื่อรอดูพัฒนาการของการฉีดวัคซีน ซึ่งปธน. Biden ตั้งเป้า 100วันแรก ในระดับ 100ล้านโดส และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (9%ของ GDP) โดยการประชุมครั้งนี้นักลงทุนส่วนหนึ่งพุ่งเป้าไปที่โทนการแถลงของ Powell ต่อเรื่องของการ Tapering ส่งสัญญาณชะลอการเข้าซื้อพันธบัตรและกรอบเวลาในการปรับลดขนาดงบดุล ซึ่งเดิมตลาดประเมินไว้ที่ในปี 2022 คาดว่าจะอิงจาก 2 ปัจจัยสำคัญอย่าง 1) อัตราการว่างงาน และ 2) การฟื้นตัวของอัตราเงินเฟ้อในระยะสั้น
ซึ่งล่าสุดความคาดหวังเงินเฟ้อฟื้นตัวขึ้นมาแตะระดับ 2% สูงสุดในรอบ 2ปี ซึ่งหากโทนออกมาในลักษณะเป็นบวกต่อภาวะเงินเฟ้อ คาดว่ากลุ่ม Cyclical play อย่างธนาคารและพลังงานจะได้ Sentiment เชิงบวก และในเชิงปัจจัยพื้นฐานเราคาดว่า Spread ในกลุ่มปิโตรเคมีและพลังงานต่างๆ จะเริ่มกลับมาแกว่งในกรอบแคบเช่นกันก่อนเข้าสู่เทศกาลตรุษจีน ประกอบกับการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นโลกในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาสูงถึง 20% เริ่มส่งผลให้ตลาดหุ้นในหลายประเทศทั่วโลกขึ้นมาซื้อขายกันที่บริเวณ +1.5 ถึง +2.0 SD ย้อนหลัง PER 10ปี ทำให้เราประเมินว่าหุ้นใหญ่จะยังคงพักฐานถัดไป เปิดทางเก็งกำไรหุ้นขนาดกลางที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว (กลุ่มเครื่องดื่มและกลุ่มที่คาดจะได้ประโยชน์จากประเด็นที่รัฐบาลเตรียมเปิดให้เอกชนยื่นอ.ย. ปลูกกัญชงภายใต้เงื่อนไขในวันที่ 29 ม.ค.นี้)
ทั้งนี้ จากการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2563 ของกลุ่มธนาคารซึ่งได้สิ้นสุดลงไปในสัปดาห์ที่แล้ว เราพบว่าภาพรวมอัตรากำไรของกลุ่มธนาคารออกมาค่อนข้างอ่อนแอ (ต่ำกว่าที่เราคาด 34%) โดยธนาคารทั้งหมด 7 แห่งที่อยู่ใน coverage ของเรา มีผลกำไรโดยรวมสำหรับไตรมาส 4/2563 อยู่ที่ 1.82 หมื่นลบ. (-18.9% QoQ, -44.2% YoY) จากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ที่สูงขึ้น, อัตราส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) ที่ลดลง และผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าภาพรวมกำไรของกลุ่มจะอ่อนแอ แต่ภาพรวม NPL นั้นไม่ได้แย่อย่างที่คาด โดยอัตราส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวม (NPL ratio) โดยรวมของกลุ่มธนาคารยังทรงตัว QoQ ที่ 3.9%
เราคาดกำไรของกลุ่มธนาคารจะฟื้นตัวในปี 2564 จาก ECL ที่ลดลง ประกอบกับ การส่งออกและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น จากการฟื้นตัวของการค้าโลกและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะช่วยผ่อนคลายความกังวลต่อหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จากการก่อตัวของ NPL ใหม่ที่ลดลงจากลูกหนี้ที่สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติจำนวนมาก โดยเราพบว่าสัดส่วนสินเชื่อภายใต้มาตรการช่วยเหลือปรับลดลงอย่างมากจากมาตรการช่วยเหลือในรอบแรก เรามองว่ากลุ่มธนาคารนั้นยังมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งเพียงพอ ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ได้ อิงจากอัตราส่วนเงินกองทุนส่วนของเจ้าของชั้นที่ 1 (CET1) ที่อยู่ในระดับ 13-18% ในปี 2563 และอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (CAR ratio) ในระดับ 17-23% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธปท. ที่ 8.5% และ 11% ตามลำดับ
ดังนั้น เราคาดราคาของหุ้นในกลุ่มธนาคารจะค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้นมาเทรดในระดับ PBV ที่ 0.75-0.8 เท่า เทียบเท่าก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 จากระดับปัจจุบันที่ 0.65 เท่า โดยเราได้ทำการปรับเพิ่มราคาเป้าหมายของหุ้นในกลุ่มธนาคารขึ้น 16-40% จากภาพรวม NPL ที่ออกมาดีกว่าคาด เรายังคงเลือก KKP (TP = 72 บาท), KTB (TP = 15 บาท) เป็นหุ้นเด่น จากมูลค่าหุ้นที่ยังคง laggard, ภาพรวม NPL ที่ดีขึ้น นอกจากนี้ เราเพิ่ม SCB (TP = 117 บาท) เข้ามา จากการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมประจำที่แข็งแกร่ง และการปรับลดสมมติฐาน credit cost ลงในปี 2564 ตามแนวทางของผู้บริหารที่คาดว่า credit cost ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว
มุมมองตลาดหุ้น/ กลยุทธ์การลงทุน วันนี้คาด SET แกว่งในกรอบแคบ 1,495-1,505จุด แนะลงทุน PRM