ห้องเม่าปีกเหล็ก

หุ้นแม่ซึม หลังส่งลูกเข้าเทรด

โดย 98 Degree
เผยแพร่ :
67 views

หุ้นแม่ซึม หลังส่งลูกเข้าเทรด

เปิดบจ.ส่งหุ้นลูกเทรด พบราคาหุ้นแม่ไม่สดใส สวนทางลูกพุ่งดี น่าสนใจกว่า โบรกชี้เป็นเรื่องปกติ เหตุธุรกิจแตกต่างกัน และ Spin-off ของดีออกจากบริษัท และรับรู้กำไรน้อยลง 

 

ที่ผ่านมาบริษัทจดทะเบียน (บจ.)ได้ปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจของบริษัทตนเอง ด้วยการนำบริษัทย่อยหรือบริษัทร่วมของบจ.ที่เป็นบริษัทแม่ แยกออกมาเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก(ไอพีโอ) และเข้าจดทะเบียนในตลท. หรือเรียกว่า Spin-off แต่จากการสำรวจข้อมูลพบว่า การเข้าซื้อขายวันแรกของบริษัทลูก ราคาจะปรับขึ้นได้ดีกว่าบริษัทแม่ ที่ส่วนใหญ่จะปรับลดลง จากความน่าสนใจของบริษัทลูกที่สดใหม่ และเป็นธุรกิจเฉพาะ ซึ่งรับรู้รายได้อย่างเต็มที่

รายงานข่าวจากตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่าบริษัทที่อยู่ระหว่างรอเข้าซื้อขายในตลท. โดยเป็นบริษัทลูกของบจ.ที่จดทะเบียนแล้วมี 4 บริษัท คือ บริษัท ปตท. นํ้ามันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) บริษัทลูกของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) เสนอขายหุ้น 3,000 ล้านหุ้น, บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) (SCGP) บริษัทลูกของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) 1,194.8 ล้านหุ้น, บริษัท สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน) (SAV) บริษัทลูกของบริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SAMART) 224 ล้านหุ้น และบริษัท เอิร์ธ เท็ค เอนไวรอนเมนท์ จำกัด (มหาชน) (ETC) บริษัทลูกของ บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) (BWG) 600 ล้านหุ้น

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมามีบริษัทที่เริ่มซื้อขายแล้ว คือ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (STGT) บริษัทลูกของบริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) (STA) เริ่มซื้อขายวันแรกเมื่อวันที่ 2 ก.ค. 2563 ราคาเสนอขายอยู่ที่ 34.00 บาท โดยราคาปิด ณ วันที่ 30 ก.ค. 2563 อยู่ที่ 81.25 บาท เพิ่มขึ้น 47.25 บาท หรือ 138.97% ส่วนบริษัทแม่ STA ราคาปิดวันที่ 30 ก.ค. 2563 อยู่ที่ 24.80 บาท ลดลง 3.20 บาท หรือ -11.42% เมื่อเทียบกับราคาปิดวันแรกที่ STGT เริ่มซื้อขายอยู่ที่ 28.00 บาท

ขณะที่นักลงทุนรอติดตามการเข้าซื้อขายของบริษัทลูก PTT อย่าง OR โดยบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชีย พลัส จำกัด ระบุว่า หลังจากเลื่อนการเสนอขายหุ้นมาแล้วระยะหนึ่ง และปัจจุบันได้ยื่นขออนุญาตต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ OR นั้น PTT จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 75% ถือเป็นการสร้างสีสันต่อราคาหุ้นบริษัทแม่ PTT และถือเป็นhidden value หากราคาหุ้น OR ปรับตัวเพิ่มขึ้นในอนาคต ถึงแม้ในส่วนของปัจจัยพื้นฐานยังคงเหมือนเดิม

นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การทำ Spin-off ของบจ.ที่ผ่านมานั้น เป็นเรื่องปกติที่ส่วนใหญ่ราคาหุ้นของบริษัทแม่จะปรับลดลงหลังจากที่บริษัทลูกเข้าซื้อขาย เนื่องจากความแตกต่างของธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกัน รวมถึงการรับรู้กำไรจากบริษัทลูกจะน้อยลง จากการนำบริษัทลูกที่มีผลการดำเนินงานที่ดีออกมาตั้งใหม่ เพราะต้องลดสัดส่วนในการถือหุ้น

นอกจากนี้ ยังมีความนิยมลดลง จากการที่บริษัทลูกมักจะเป็นธุรกิจที่ดีและน่าสนใจมากกว่า ทำให้ในช่วงแรกอาจจะมีการซื้อเก็งกำไรในบริษัทแม่ก่อน จากนั้นจึงลดการถือครองและโยกไปลงทุนในบริษัทลูกแทน ขณะเดียวกันปัจจุบันจะใช้วิธีการประเมินมูลค่าเหมาะสม (Fair Value) ด้วยการเอากำไรจากบริษัทลูกใส่บริษัทแม่ตามสัดส่วนการถือหุ้น ซึ่งไม่เหมือนการประเมินแบบ Sum-of-the-part (SOTP) หรือการเอามูลค่าของบริษัทลูกที่ถืออยู่มาใส่บริษัทแม่อย่างเต็มตัว ส่งผลให้บริษัทลูกที่รับรู้กำไรเต็มที่จะได้รับความนิยมมากกว่า

“การที่แม่ตัดเอาลูกที่ดีออกมา ทำให้ความนิยมของแม่ลดลง อย่างเช่น STA กับ STGT เพราะ STA เป็นเทรดดิ้ง ส่วน STGT เป็นถุงมือยาง ซึ่งความน่าสนใจจะมีมากกว่าดังนั้นไม่มีความจำเป็นที่นักลงทุนจะถือหุ้นทั้งสองบริษัทไว้ ขณะเดียวกัน จะคล้ายกับ PTT และ OR ที่ความนิยมของ OR จะมีมากกว่าจากการเป็นบริษัทที่มีธุรกิจปั๊มนํ้ามันและร้านกาแฟ มองว่าอาจจะเห็นการลดลงของราคาหุ้น PTT หาก OR เข้าซื้อขาย”

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


98 Degree