ส่องอนาคตไตรมาส 4 “กลุ่มเจมาร์ท”
นักวิเคราะห์คาด JMT – SINGER ทำกำไรนิวไฮ

.
JMART GROUP เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่และมีบริษัทภายใต้กลุ่มที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างมาก ซึ่งนอกจากการลงทุนด้วยตนเองแล้ว บริษัทยังเข้าลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ที่มีศักยภาพ เพื่อให้เกิด Synergy สร้างโอกาสทางธุรกิจ และช่วยสนับสนุนการเติบโตของกลุ่มในอนาคต
.
ดังนั้นในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2565 ทีมงาน Wealthy Thai จึงมีแนวโน้มการเติบโตของ 3 บริษัทที่เป็นแกนหลักสำคัญในการสร้างการเติบโตให้กับกลุ่ม JMART GROUP นั่นคือ JMART, JMT และ SINGER มาฝาก มาดูกันว่าแต่ละบริษัทจะมีผลประกอบการเติบโตมากแค่ไหน
.
มาเริ่มกันที่ JMART หรือ บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) บริษัทแม่ผู้ถือหุ้นในบริษัทย่อยต่างๆ และเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้เกิดการ Synergy ร่วมกัน โดยบล.เอเซีย พลัส ระบุว่า คาดกําไรปกติของ JMART ในไตรมาส 4/65 จะมีแนวโน้มโตได้ทั้งจากไตรมาส 4/64 และไตรมาส 3/65 จากการเติบโตขึ้นของรายได้ในทุกๆธุรกิจ โดยคาดว่าธุรกิจจัดจําหน่ายโทรศัพท์มือถือ (Jaymart Mobile) ที่เป็นธุรกิจหลักจะได้รับผลบวกตามกําลังซื้อที่เริ่มดูดีขึ้น รวมทั้งผลของฤดูกาลที่ช่วงปลายปีมักจะมีการจับจ่ายสินค้าต่างๆ สูงกว่าไตรมาสอื่นๆ
.
นอกจากนี้จะเป็นไตรมาสแรกที่ได้รับประโยชน์จากการจําหน่ายไอโฟน 14 อย่างเต็มไตรมาส ส่วน JMTที่เป็นธุรกิจรอง คาดมีรายได้เติบโตขึ้น ตามพอร์ตลูกหนี้ที่จะขยายตัวได้ต่อเนื่อง บวกกับความสามารถจัดเก็บหนี้ที่ดีขึ้น จะช่วยเร่งการเติบโตของกําไรให้ดีขึ้น
.
แม้แนวโน้มกําไรไตรมาส 4/65 จะเติบโตขึ้น แต่เนื่องจากกําไรในช่วง 9 เดือนของแรกของปี 2565 มีสัดส่วน 58% ของประมาณการกําไรทั้งปี ทําให้ฝ่ายวิจัยต้องปรับคาดการณ์กําไรปกติปี 2565 – 2566 ลงจากเดิม 17% - 18% โดยคาดว่า JMART จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,713 ล้านบาท และ 1,827 ล้านบาท ตามลำดับ และปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 55.00 บาท ซึ่งยังมี upside จึงคงคําแนะนํา “ซื้อ”
.
ถัดมา JMT หรือ บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) โดยบล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า คาดไตรมาส 4/65 จะยังเดินหน้าทำ New High ได้ที่ 652 ล้านบาท เติบโต 37% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 43% จากไตรมาสก่อนหน้า จากยอด Cash Collection ที่คาดเติบโตสูงช่วงปลายปี บวกกับกำไรจาก JK AMC ที่คาดจะรับรู้เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/65
.
อย่างไรก็ตาม กำไร 9 เดือนปี 2565 คิดเป็น 53% ของประมาณการทั้งปีเดิม โดยฝ่ายวิจัยปรับประมาณการกำไรปี 2565-2566 ลงเฉลี่ย 20% มาที่ 1,907 ล้านบาท เติบโต 36% จากปีก่อน และ 2,786 ล้านบาท เติบโต 46% ตามลำดับ จากการเข้าซื้อหนี้ที่มีแนวโน้มต่ำกว่าเป้าในภาวะที่สถาบันการเงินชะลอการตัดจาหน่ายหนี้เสีย และการเก็บหนี้ในครึ่งปีหลังที่เร่งเติบโตได้ช้ากว่าประมาณการเดิม
.
โดยปรับราคาเป้าหมายลงมาที่ 86 บาท จากเดิม 105 บาทต่อหุ้น จากการปรับประมาณการกำไรลงเฉลี่ย 20% แต่ปัจจุบันราคาหุ้นอยู่ในจุดที่น่าสะสม โดยรวมภาพกลาง-ยาว แนวโน้มยังไปต่อได้ คงความเป็นผู้นำอุตสาหกรรม และลุ้นอัพไซด์ผลประกอบการ JK AMC ที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น
.
สุดท้าย SINGER บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) โดยบล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า คาดไตรมาส 4/65 จะทำ New High อีกรอบที่ 320 ล้านบาท เติบโต 50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 30% จากไตรมาสก่อนหน้า ด้านรายได้ดอกเบี้ยสิ้นปี 2565 จะยังคงเติบโตทำจุดสูงสุดต่อเนื่องบนประมาณการพอร์ตสินเชื่อแตะ 16,000 ล้านบาท ขณะที่ยอดขายสินค้าจะกลับมาเข้าสู่ High Season อีกครั้ง และภายหลัง SGC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ช่วงกลางเดือนธ.ค. นี้ จะได้เงินทุนเพิ่มอีกระดับหลายพันล้านบาท และปลดล็อคฐานทุนหนุนการเติบโตในอีก 3 ปีข้างหน้า
.
โดยคงประมาณการกำไรปี 2565 – 2567 ที่ 1,062 ล้านบาท, 1,379 ล้านบาท และ 2,008 ล้านบาท ตามลาดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 38% พร้อมคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 53 บาท ซึ่งฝ่ายวิจัยมองว่าราคาหุ้นปัจจุบันสะท้อนความกังวลของตลาดไปแล้ว และเป็นระดับที่ต่ำกว่าราคาหุ้นเพิ่มทุนของกลุ่ม BTS ที่ 36 บาท ขณะที่มุมมองการเติบโตของธุรกิจหลักไม่เปลี่ยน จึงเป็นจุดที่น่าสะสม