AI War: เมื่อ “สมองของโลกใหม่” ถูกครอบครองแค่ 2 ชาติ
ในอดีตเราเคยแย่งกันเรื่อง “ที่ดิน น้ำมัน หรืออาวุธ”
แต่โลกวันนี้ สิ่งที่ทรงอำนาจที่สุดไม่ใช่ “ทรัพยากร” ที่จับต้องได้อีกต่อไป
มันคือ “สมองของโลก” — ปัญญาประดิษฐ์ (AI)
และในสนามนี้… มีแค่ 2 ประเทศที่ยังยืนอยู่ ณ จุดสูงสุด
คือ สหรัฐอเมริกา และจีน
..

3 หัวใจของการครองโลกด้วย AI
ใครก็ตามที่อยากครองโลกด้วย AI ต้องมี “วงกลม 3 วง” ต่อไปนี้อย่างพร้อมเพรียง
Compute Power – พลังประมวลผล (GPU, Data Center)
Talent & Algorithm – ทีมวิจัยและพัฒนา AI ที่มีฝีมือระดับโลก
Data & Ecosystem – ข้อมูลมหาศาลที่เชื่อมโยงในระดับ ecosystem
และถ้าเราดูทั่วโลกวันนี้ มีเพียง 2 ชาติที่มีครบคือ
สหรัฐฯ และ จีน
ประเทศอื่นแค่ “ใช้” AI
แต่สองชาตินี้ “สร้าง” และ “ควบคุม” ทิศทางของมัน
..
จุดแข็งของสหรัฐฯ: AI Infrastructure ที่ลึกที่สุดในโลก
Compute Power
อเมริกาคือผู้ควบคุม GPU ที่ใช้ฝึกและรัน AI ทั่วโลก
NVIDIA, AMD, Intel ล้วนถือกำเนิดที่นี่ และทุก chip ต้องใช้เทคโนโลยีของบริษัทอเมริกันผ่าน TSMC หรือ Samsung
Talent Pool & Open Source
เบอร์หนึ่งด้าน AI Research และ Open Source Model
เช่น OpenAI, Google DeepMind, Meta AI, xAI ของ Elon Musk
ยังครอง Citation และ Innovation ระดับโลก
Capital + Cloud + Productization
มีเงินทุนมหาศาล บวกโครงสร้างพื้นฐาน Cloud (AWS, Azure, GCP) ที่พร้อม Deploy AI ให้เกิดจริงในเชิงธุรกิจ
Ecosystem เชิงพาณิชย์
ไม่ใช่แค่เก่งวิจัย แต่ใช้ได้จริงในองค์กรทั่วโลก
— จาก AutoGPT, AI Agents, ไปจนถึงการฝัง AI ใน SaaS แบบ Microsoft Copilot
..
จุดแข็งของจีน: ข้อมูล, Scale, และความเร็วแบบไร้ข้อจำกัด
Data = อาวุธลับ
จีนมีประชากร 1.4 พันล้านคน ทุกอย่างกลายเป็นข้อมูล
จาก WeChat, Alipay, Meituan, Ctrip, ไปจนถึงระบบรัฐ ทุกกิจกรรมเชื่อมโยงกัน
→ AI Model ที่ฝึกบนข้อมูลจีนจะเข้าใจพฤติกรรมคนได้ลึกแบบไม่เหมือนใคร
National Strategy
จีนไม่มองว่า AI คือแค่เครื่องมือ แต่คือยุทธศาสตร์ความมั่นคง
→ ทุ่มงบมหาศาลในการพัฒนา AI ไม่ใช่เพื่อแข่งธุรกิจ แต่เพื่อ “ไม่แพ้ในศึกยุคถัดไป”
เร่งสปีดได้ทันที
รัฐบาลจีนสามารถบังคับทั้งอุตสาหกรรมและโครงสร้างพลังงานมารองรับ AI ได้
ไม่ต้องผ่านสภา ไม่ต้องรอเลือกตั้ง ไม่ต้องขออนุญาต
→ การสร้าง Data Center, โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ หรือโครงการ AI ขนาดยักษ์ใช้เวลาแค่เดือน ไม่ใช่ปี
ฮาร์ดแวร์ในบ้าน
แม้โดนบล็อก GPU จากสหรัฐฯ แต่จีนตอบโต้ด้วยการพัฒนา Chip เอง เช่น Huawei Ascend, Alibaba T-Head และขยายฐานผลิตในประเทศ
..
AI จะเปลี่ยนสมดุลเศรษฐกิจโลกอย่างไร?
แรงงานราคาถูกจะไม่ใช่ข้อได้เปรียบอีกต่อไป
เพราะ “แรงงาน AI” และ “หุ่นยนต์” จะมีต้นทุนถูกกว่ามนุษย์
→ ประเทศที่เคยได้เปรียบเรื่องแรงงาน (เช่น เวียดนาม อินโด ไทย) จะโดน Disrupt
ผู้เล่นเก่าจะลำบาก ถ้าไม่มี Compute + Data + Talent
Legacy Companies ที่ระบบเก่า คนกลัวเปลี่ยน กลัวตกงาน
→ จะพัฒนา AI ได้ช้า หรือทำได้แค่ผิวเผิน
บริษัท AI Native จะกลืนกิน Market Share เรื่อย ๆ
ใครที่มี Data เป็นของตัวเอง ใช้ AI แบบ “Plug-in” ได้ทันที
→ จะลดต้นทุน เพิ่ม Margin และขยายการเติบโตแบบ Snowball
มหาอำนาจจะรวยยิ่งกว่าเดิม
เพราะ AI ยิ่งเก่ง = ยิ่งมีข้อมูล = ยิ่งสร้างมูลค่า
→ นี่คือ Loop ที่จะทำให้ “ผู้ชนะ ยิ่งชนะ” (The Great Concentration)
..
แล้วโลกที่เหลือล่ะ?
ประเทศที่ไม่มี Compute ของตัวเอง
ไม่มี Data ที่เชื่อมโยง
ไม่มี Ecosystem หรือวิจัย AI
→ อาจกลายเป็น “Zombie Country”
อยู่ไปได้เรื่อย ๆ แต่ไม่เติบโต
และถูกดูดมูลค่าออกไปทีละน้อย… ผ่านแพลตฟอร์มที่ตัวเองก็สร้างไม่ได้
..
นักลงทุนต้องทำอย่างไร?
อย่าหลอกตัวเองว่า AI คือของทุกคน
AI ไม่ได้เป็นกลาง — มันมีเจ้าของ
และเจ้าของกำลังเร่งขยายอิทธิพลไปทั่วโลกผ่าน “โครงสร้างพื้นฐานของความฉลาด”
อย่าเลือกประเทศ เลือกบริษัทที่ “เข้าถึง AI ได้”
คุณไม่ต้องถือ ETF จีนหรืออเมริกา
แต่คุณต้องหาให้เจอว่าใครคือ AI Native ที่มี Data, Talent, Compute
และอยู่ในอุตสาหกรรมที่ใช้ AI เพิ่ม Value จริง ไม่ใช่แค่ลดต้นทุน
อย่าลืมเกมพลังงาน
Compute ต้องใช้ไฟ และไฟต้องมาจากแหล่งที่ถูก
→ อย่ามองข้าม “AI + Power” thesis เช่น Cloud Provider ที่ลงทุนพลังงานเอง หรือประเทศที่ควบคุมพลังงานได้
..
สรุป: ศึก AI ไม่ใช่แค่การแข่งขันเทคโนโลยี แต่คือการจัดระเบียบอำนาจโลกใหม่
ใครครอง AI = ครอง Productivity
ใครครอง Productivity = ครองเศรษฐกิจ
ใครครองเศรษฐกิจ = ครองโลก
และวันนี้… ผู้ท้าชิงมีแค่ 2 คน
สหรัฐอเมริกา
จีน
ส่วนที่เหลือ ต้องเลือก “ข้าง” หรือ “ยอมจำนน”
..
Disclaimer
บทความนี้เพื่อการศึกษาและเปรียบเทียบเท่านั้น
ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุน
ผู้ลงทุนควรศึกษาเงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงด้วยตนเองก่อนตัดสินใจ
ที่มาเนื้อหา. หุ้นพอร์ทระเบิด