
ชาร์ลี มังเกอร์ มหาเศรษฐีนักลงทุนกล่าวว่า “โลกไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยความโลภ แต่ขับเคลื่อนด้วยความอิจฉา”
.
ชาร์ลี มังเกอร์ มหาเศรษฐีนักลงทุนกล่าวว่า เขาไม่เคยสนใจที่จะเปรียบเทียบความร่ำรวยของเขากับเงินของผู้อื่น แต่แรงจูงใจของเขาในการสะสมความมั่งคั่งมักจะเกี่ยวกับการรักษาความเป็นอิสระ อิสรภาพในการทำสิ่งที่เขาปรารถนาในธุรกิจและในชีวิต และเขาปรารถนาให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นทำตามแบบอย่างของเขา
.
“โลกไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยความโลภ มันเกิดจากความอิจฉาริษยา” มังเกอร์กล่าวในการประชุมประจำปีของ Daily Journal บริษัทหนังสือพิมพ์ที่เขาเป็นผู้อำนวยการเมื่อต้นปีนี้
.
ชายวัย 98 ปี ผู้ซึ่งสะสมความมั่งคั่งที่ Forbes ประเมินไว้ที่ 2.2 พันล้านดอลลาร์ หรือกว่า 7.6 หมื่นล้านบาท กล่าวเสริมว่า เป็นเรื่องง่ายและเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้คนจะอิจฉากัน ไม่ว่าบางคนจะมีมากแค่ไหนก็ตามหากคนอื่นก็จะมีมากกว่านั้นเสมอ
.
“ผมได้เอาชนะความอิจฉาริษยาในชีวิตของผมเอง ผมไม่อิจฉาใครเลย” มังเกอร์กล่าว “ผมไม่สนหรอกว่าคนอื่นจะมีอะไร แต่คนอื่นมักบ้าไปกับมันเท่านั้น”
.
แน่นอนนี่อาจเป็นคำพูดที่ง่ายเมื่อคุณเป็นหนึ่งในผู้ที่ติดทำเนียบมหาเศรษฐีของ Forbes และมีผู้คนอีกเพียง 1,300 คนเท่านั้นที่ความมั่งคั่งมากกว่า รวมถึง ปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่มีความร่ำรวยกว่า 1.06 แสนล้านดอลลาร์
.
ในปี 2017 มังเกอร์กล่าวในการให้สัมภาษณ์ว่าเขาพยายามหลีกเลี่ยงความรู้สึก ‘อิจฉาริษยา’ ในการทำธุรกิจ ความคิดประเภทนี้อาจส่งผลเสียต่ออาชีพการงาน เพราะทำให้คุณมีแนวโน้มที่จะตัดสินใจอย่างลำเอียงซึ่งอาจกลายเป็นเรื่องแย่ได้
.
ในปี 2019 เขาพูดต่อต้านความอิจฉาอีกครั้ง โดยบอกกับ CNBC ว่าการหลีกเลี่ยงความอิจฉาเป็นหนึ่งในเคล็ดลับ ‘ง่ายๆ’ ในการใช้ชีวิตที่ยืนยาวและมีความสุข
.
แท้จริงแล้ว การศึกษาในปี 2018 พบว่าคนที่อิจฉาริษยามีแนวโน้มที่จะมีสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่แย่ลง ขณะเดียวกันการเพิ่มขึ้นของสื่อสังคมออนไลน์ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการป้อนความรู้สึกอิจฉาริษยาและวัตถุนิยมของผู้คน ด้วยการนำเสนอชีวิตของผู้คนที่มีหรือดูเหมือนว่าจะมีชีวิตที่หรูหราอยู่เสมอ
.
ภาพ: mark peterson/Corbis via Getty Images
.
อ้างอิง:
https://www.cnbc.com/.../billionaire-charlie-munger-world...