ห้องเม่าปีกเหล็ก

หาเรื่องมาเล่า

โดย หญิงแม้น
เผยแพร่ :
64 views

โควิด-19 : เมื่อพนักงานบริการทางเพศเอื้อมไม่ถึงโครงการ “เราไม่ทิ้งกัน”

จากที่เคยมีรายได้ไม่ต่ำกว่าวันละ 3,000 บาท น้อง (นามสมมุติ) สาวประเภทสองอายุ 26 ปี ที่เคยกินดีอยู่ดีจากการประกอบอาชีพเสริมด้วยการค้าบริการทางเพศแถวถนนเลียบชาดหาดพัทยาต้องกลายมาเป็นคนไร้บ้านในทันทีหลังจากที่มีการประกาศเคอร์ฟิว

ห้องเช่าที่น้องเคยพักอาศัยอยู่กับเพื่อนอีกสองคนปิดประตูไม่ต้อนรับเธออีกต่อไปเพราะน้องไม่มีรายได้มาจ่ายค่าเช่า ครั้นจะกลับไปบ้านเกิดที่อีสาน เธอก็ไม่มีเงินมากพอ น้องไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปอาศัยหลับนอนตามตึกร้างแถว ๆ ชายหาดจอมเทียน และรับอาหารฟรีที่บาร์ต่าง ๆ ทำแจกเพื่อช่วยเหลือพนักงานภาคบริการ

"หนูก็ไม่รู้ว่าจะอยู่รอดไปถึงเมื่อไหร่ เงินที่มีก็เหลือแค่ไม่กี่ร้อย แถมตอนนี้ก็ไม่สามารถหาลูกค้าได้เลย จะกลับบ้านก็ไม่ได้ ทางโน้นเขาก็กลัวว่าเราจะเอาโรคมาแพร่ในหมู่บ้าน" น้องตัดพ้อ

น้องและพนักงานภาคบริการสาขาหนึ่งอย่างพวกเขาอีกหลายแสนคนทั่วประเทศต่างตกอยู่ในที่นั่งเดียวกัน เมื่อแหล่งรายได้หลักต้องสูญสิ้นไปเพราะถูกสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 บีบบังคับ

แม้รัฐบาลจะมีมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบภายใต้โครงการ "เราไม่ทิ้งกัน" แต่เงินจำนวน 5,000 บาทที่ผู้ที่ได้รับการอนุมัติจะได้รับเป็นเวลา 3 เดือนนั้น อาจมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่ทำให้คนบางกลุ่มอาชีพอย่าง "พนักงานบริการทางเพศ" ถูกกันออกไป

คนกลุ่มนี้จะอยู่รอดได้อย่างไร วิธีการแจกเงินเยียวยาครอบคลุมทุกสาขาอาชีพหรือไม่ และนี่คือวิธีการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนหรือเปล่า บีบีซีไทยพูดคุยกับพนักงานภาคบริการในภาคเหนือ กลางและใต้ และผู้ที่คอยช่วยเหลือกลุ่มคนเหล่านี้

คนสำคัญที่ถูกลืม

ถึงแม้รายได้หลักของประเทศไทยจะมาจากการส่งออก แต่ภาคธุรกิจการท่องเที่ยวก็ถือว่าเป็นหนึ่งในรายได้สำคัญของประเทศไทยมาตลอด จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แสดงให้เห็นว่าไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวกว่า 1.9 ล้านล้านบาทเมื่อปีที่ผ่านมา ถือเป็น 10% ของรายได้โดยรวมของทั้งประเทศ

มัคคุเทศก์ พนักงานโรงแรม พนักงานสายการบิน คนขับรถแท็กซี่ และอีกหลาย ๆ อาชีพที่อยู่ในห่วงโซ่งานบริการด้านการท่องเที่ยวต่างเป็นกำลังขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทย นอกจากคนกลุ่มนี้แล้ว ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพนักงานบริการทางเพศที่มีอยู่ทั่วประเทศกว่า 300,000 คนก็มีส่วนที่ทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วย ถึงแม้สถานะทางอาชีพของพวกเขาเหล่านั้นจะถือว่าเป็นสิ่ง "ผิดกฎหมาย" ก็ตาม

ไหม จันทร์ตา เจ้าหน้าที่ฝ่ายชุมชนและตัวแทนพนักงานบริการ จากมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ จ.เชียงใหม่ ได้ออกมาเรียกร้องให้ภาครัฐเห็นคุณค่าของพนักงานบริการมากกว่านี้ โดยเธอชี้ให้เห็นว่าพนักงานบริการเป็นกลุ่มอาชีพที่นำรายได้เข้าประเทศ พวกเขาได้รับผลกระทบเป็นกลุ่มแรก ๆ แต่ทำไมภาครัฐถึงพิจารณาให้คนในภาคบริการเป็นกลุ่มสุดท้าย

"ไม่มีใครได้มีเวลาตั้งตัวเลย พอมีประกาศออกมาว่าวันที่ 18 มี.ค. จะให้สถานบันเทิงทั้งหมดปิดเป็นการชั่วคราว พนักงานทุกคนก็ถึงกับช็อคเพราะว่าพวกเขาไม่มีเงินเดือน นั่นหมายความว่าเงินที่ทำได้วันก่อนสั่งปิด จะเป็นรายได้ก้อนสุดท้ายไปจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น แบบนี้พวกเขาอยู่กันไม่ได้หรอก" ไหมอธิบาย

"ที่เชียงใหม่มีพนักงานบริการภาคบันเทิงประมาณ 3,091 คน และพวกเขาไม่มีเงินเดือนประจำ รายได้ของพวกเขามาจากทิป ค่าดริ้งค์ ค่ารอบ และค่าชั่วโมง หลายคนมีภาระทั้งผ่อนรถจักรยานยนต์ จ่ายค่าเช่าห้อง และส่งเงินกลับไปให้ทางบ้าน พอมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ พวกเขาแทบล้มทั้งยืนเลย"

ไหมบอกบีบีซีไทยว่าพนักงานบริการเหล่านี้กว่าครึ่งที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ และกลุ่มแรงงานข้ามชาติ และคนกลุ่มนี้ไม่สามารถเข้าถึงเงินเยียวยาจากโครงการ "เราไม่ทิ้งกัน" ได้ และมีส่วนน้อยมากที่มีสิทธิประกันสังคม โดยบาร์แต่ละแห่งจะมีพนักงานไม่เกินที่ละ 5 คนที่อยู่ในระบบสวัสดิการรัฐ นอกนั้นไม่มีสิทธิเข้าถึงสวัสดิการเหล่านี้เลย

"ที่ผ่านมาทางภาครัฐไม่เคยให้ความสำคัญ หรือให้การช่วยเหลือพนักงานภาคบริการเลย สิ่งที่ทำบ่อยคือล่อซื้อ และกวาดล้าง อยากให้รัฐเห็นความสำคัญของกลุ่มเราและเข้ามาดูแลพวกเรามากกว่านี้" ไหมชี้ให้เห็นปัญหา

"ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถหาที่พึ่งทางสวัสดิการสังคมกับภาครัฐได้ พวกเราก็รวบรวมเงินมาให้ความช่วยเหลือ ทำถุงยังชีพที่มีข้าวของเครื่องใช้และของแห้งมอบให้ผู้ที่เดือดร้อน และเราก็ทำอาหารแจกบ้างตามกำลังที่เรามี ตอนนี้ทางมูลนิธิก็ให้การช่วยเหลือเบื้องต้นไปก่อน พนักงานบริการทั้งทำงานในร้าน เอาเงินเดือน รายวัน พาร์ทไทม์และทำงานอิสระไม่มีนายจ้าง ทุกคนเข้าเงื่อนไขเพราะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ร้านถูกปิด เป็นคนไทย ไม่ได้อยู่ในประกันสังคมแบบมีนายจ้าง"

"พวกเราขอรับเงินเยียวยา "เราไม่ทิ้งกัน" ได้ ตอนนี้ยังเปิดลงทะเบียนอยู่ เราต้องใช้สิทธิของเราและเราไม่แตกต่างจากหลายล้านคน คนลงทะเบียน 24 ล้านคน โดยรัฐใช้ AI เลือกมา 9 ล้านคน อีก 15 ล้านคนไม่ได้รับการเยียวยา เราก็ไม่แตกต่าง เราอาจจะอยู่ ใน 9 ล้าน และ ใน 15 ล้านได้เช่นกัน"

ไม่มีที่ไปแถมถูกตีตรา

เมื่อกล่าวถึงสถานบันเทิงยามค่ำคืนที่เป็นที่ขึ้นชื่อที่สุดในประเทศไทย ก็คงหนีไม่พ้นย่านพัฒน์พงษ์ นานา ซอยคาวบอยในพื้นที่กรุงเทพฯ และเมืองที่ไม่มีวันหลับอย่างพัทยาในพื้นที่ จ.ชลบุรี บาร์ อาบ อบ นวด ร้านนวด ต่าง ๆ ในพื้นที่นี้ได้รับผลกระทบโดยตรงเพราะการขาดการเดินทางเข้ามาของผู้ใช้บริการหลักนั่นคือกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ

สุรางค์ จันทร์แย้ม ผู้อำนวยการและผู้ก่อตั้งมูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ หรือ SWING เล่าให้ฟังว่าทันทีที่ได้ยินประกาศปิดสถานบันเทิงทั่วประเทศ เธอและอาสาสมัครในองค์กรได้ลงพื้นที่สำรวจตามย่านท่องเที่ยวกลางคืนทันที และพนักงานบริการทุกคนต่างตกใจกับคำสั่ง เพราะกลัวเรื่องรายได้ที่จะหายไปในทันที

จากการสำรวจในพื้นที่พัฒน์พงษ์ พบว่ามีสถานบันเทิงอยู่กว่า 30 แห่ง และพนักงานกว่า 2,000 คน ในย่านซอยธนิยะ มีสถานบันเทิงอยู่กว่า 30 แห่ง และพนักงานกว่า 3,000 คน ซอยคาวบอย มีสถานบันเทิงอยู่ 18 แห่ง และพนักงานกว่า 1,000 คน ย่านนานาพลาซ่ามีสถานบันเทิงอยู่กว่า 30 แห่ง และพนักงานกว่า 2,000 คน และยังมีผู้ค้าบริการทางเพศที่ไม่ได้ทำงานอยู่ตามบาร์กว่าอีกหลายพันคน

บีบีซีได้สำรวจพื้นที่แถวนานาพลาซ่าไปจนถึงซอยคาวบอยเมื่อวันที่ 9 เม.ย. พบว่ามีพนักงานบริการจำนวนมากออกมาหาลูกค้าริมถนนตั้งแต่ 18.00 น. จากซอยนานาไปจนถึงแยกอโศก แม้ว่าจะมีการประกาศปิดสถานบันเทิงทั่วประเทศไปแล้วก็ตาม

"คนเหล่านี้ไม่มีสถานะใด ๆ พวกเขาเป็นคนลอย ๆ ไม่มีสิทธิ์ ไม่เข้าถึงสวัสดิการใด ๆ พอแหล่งรายได้เดียวของพวกเขาถูกปิดไป พวกเขาก็ขาดรายได้ไปเลย คนหลาย ๆ คนก็กลับบ้านไม่ได้และก็ทำมาหากินกันไม่ได้" สุรางค์อธิบาย

"ก่อนที่จะมีประกาศเคอร์ฟิว ก็ยังพอมีคนกลุ่มหนึ่งมานั่งข้างถนนตรงบริเวณหน้าร้านที่ตัวเองเคยทำเพื่อหาลูกค้า เราเองก็ไม่รู้จะห้ามยังไงเพราะพวกเขาก็ต้องดิ้นรนหารายได้กัน พวกเขาเหล่านี้ถูกตีตราจากอาชีพที่ทำอยู่แล้ว และพอมาถึงสถานการณ์แบบนี้พวกเขาแทบจะไม่มีตัวตนเลย"

เมืองปิด ไร้ช่องทางหากิน

พัทยาเริ่มมาตรการปิดเมืองเมื่อวันที่ 9 เม.ย. เป็นเวลา 21 วัน จนถึงสิ้นเดือน ทำให้แดนสวรรค์ของนักท่องเที่ยวยามราตรีต้องถูกปิดตายระยะหนึ่ง

ถึงแม้อาชีพการค้าประเวณีจะไม่ใช่สิ่งถูกกฎหมายในประเทศไทย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลุ่มคนนี้เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้พัทยามีเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก จากการเก็บสถิติของ SWING พบว่ามีพนักงานที่เป็นกลุ่มชายรักชายในพัทยาอยู่ 3,000 คน และกลุ่มผู้หญิง 6,000 คน และยังมีอีกหลายพันคนที่ไม่ได้อยู่ในระบบการสำรวจ

"พัทยาได้รับผลกระทบกันมาก่อนที่จะปิดประเทศด้วยซ้ำ ตั้งแต่มกราคมมา นักท่องเที่ยวก็บางตาไปมาก พอมีคำสั่งปิดเมืองก็แทบจะร้างไปเลย แต่พอมาถึงวันนี้มันไม่มีใครเลยจริง ๆ และน้อง ๆ ก็ไม่สามารถหาลูกค้าได้เลย" พรพิชิต บุตรราช หัวหน้างานเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษา จาก SWING พัทยา อธิบาย

"ตอนนี้น้อง ๆ ทุกคนก็พยายามดิ้นรนหาทางออกให้ตัวเองอยู่รอด บางคนโชคดีที่ออกจากเมืองทัน บางคนก็ติดอยู่ที่นี่แบบไม่มีรายได้ ยังดีที่บาร์ต่าง ๆ ทั่วพัทยาสลับกันทำอาหารแจกกันทุกวันพอให้น้อง ๆ ได้ประทังชีวิตไปวัน ๆ หนึ่ง"

"ทางเราได้ไปปรึกษากับเมืองพัทยาแล้วแต่ว่าแผนงานของพวกเขาคือต้องจัดการกับโรคโควิด-19 ให้หมดก่อนที่จะมาให้ความสนใจเรื่องสังคมสงเคราะห์ ดังนั้นทางเมืองจึงมีบริการตรวจโควิด-19 ให้น้อง ๆ พนักงานทุกคนฟรีเพื่อลดความเสี่ยงการแพร่กระจายเชื้อ" พรพิชิตอธิบาย

ชะตากรรมของคนภาคบริการ

ต้นกล้า อายุ 28 ปี พนักงานบริการสาวประเภทสองที่บาร์แห่งหนึ่งใน Walking Street พัทยา

"รายได้มันไม่ดีมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แต่มันก็ยังพอหากินได้บ้าง หนูทำงานอยู่ที่พัทยามา 5 ปี แค่ไม่เคยเจออะไรที่แย่ขนาดนี้เลย รายได้ก็ไม่พอ หนูเลยย้ายออกจากคอนโดที่เช่าอยู่และมาอาศัยเพื่อนอยู่จนกระทั่งมีคำสั่งปิดบาร์ หนูก็ยังพอหารายได้จากการหาลูกค้าผ่านทางออนไลน์ พอมีประกาศเคอร์ฟิวหนูก็หาลูกค้าไม่ได้เลย เลยตัดสินใจกลับบ้านที่อีสานก่อนประกาศปิดเมือง"

"ปกติหนูทำเงินได้คืนละ 4,000 - 5,000 บาท จนกลายมาเป็นว่าตอนนี้ได้ลูกค้าคนเดียวในสองถึงสามวัน ถึงแม้ว่าจะทำรายได้จากลูกค้าออนไลน์ในช่วงท้าย แต่ท้ายที่สุดหนูก็อยู่ไม่ได้เพราะมันไม่มีลูกค้าเลย"


แตงโม อายุ 27 ปี สาวบาร์แห่งหนึ่งย่าน ถ.ลอยเคราะห์ จ.เชียงใหม่

"พวกเราลำบากมาตลอด ปีที่ผ่านมาแขกก็น้อยกว่าทุกปี พอมาเจอเหตุการณ์นี้อีกพวกเราก็แย่กันไปเลย หนูมีรายได้เป็นเงินเดือนอยู่ที่เดือนละ 12,000 บาท และยังได้ค่าดริ้งค์จากแขก พอลูกค้าลดลงเมื่อปลายปี เจ้าของก็ขอลดเงินเดือนมาเป็น 5,000 บาท แต่พอมีประกาศปิดแบบนี้หนูก็ขาดรายได้ไปเลย"

"ตอนนี้ก็จะรอไปรับอาหารฟรีที่มีคนทำแจกตามที่ต่าง ๆ แล้วก็ซื้อมาม่ากับไข่มาตุนเอาไว้ ส่วนเรื่องการลงทะเบียนขอเงิน 5,000 บาทต่อเดือนหนูทำไม่ได้เพราะหนูไม่ใช่คนไทย"

นุ๊ก อายุ 25 ปี พนักงานบาร์เบียร์แห่งหนึ่งย่านซอยบางลา ใกล้กับหาดป่าตอง จ.ภูเก็ต

"ผมเป็นพนักงานชั่วคราวและไม่ได้รับเงินเดือนอยู่แล้ว ถ้าทำงานก็ได้เงิน ถ้าไม่มาก็ขาดรายได้ไป ปกติทางบาร์จะให้วันละ 100 - 150 บาท เพื่อมาทำงาน และมีค่าเปอร์เซ็นต์ที่ขายเครื่องดื่มได้อีก 30% ซึ่งผมก็อยู่ได้และมีเงินเก็บ แต่พอเจอเหตุการณ์นี้เข้าไป ผมถึงกับต้องหอบข้าวของออกจากห้องที่อยู่และไปอาศัยเพื่อนนอนเพราะผมไม่มีเงินเลย"

"ถ้าจะกลับบ้านก็ลำบากอีก ผมไม่แน่ใจว่าจะถูกกักตัวระหว่างเดินทางรึเปล่าเพราะแต่ละจังหวัดเขาก็สั่งปิดพื้นที่ของตัวเองกันหมดแล้ว ยิ่งตอนนี้เกาะภูเก็ตมาปิดอีก ผมก็ไม่รู้ว่าจะอีกนานเท่าไหร่ แต่ผมไม่สามารถอยู่ในภาวะนี้ได้ในระยะยาวเพราะผมไม่เหลือเงินติดตัวเลย"

 

โบ อายุ 24 ปี สาวบาร์แห่งหนึ่งย่านนานาพลาซ่า กรุงเทพมหานคร

"ปกติหนูเต้นทั้งคืนก็ทำเงินได้เยอะ วันไหนไม่มีลูกค้าเช่าชั่วโมงออกไปก็ยังพอขายดริ้งค์ได้วันละหลายพัน แต่พอมาแบบนี้หนูก็ไม่มีรายได้จากทางไหนเลย หนูมีลูกเล็กต้องเลี้ยงและหนี้สินครอบครัวมากมาย ตอนนี้เครียดมาก หมดหวังมาก แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง"

"โรคระบาดก็เยอะแต่หนูไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากออกมาแอบหาลูกค้าตอนช่วงเย็น ๆ ก่อนสี่ทุ่ม ก็ไม่ใช่ว่าจะมีลูกค้านะ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างน้อยมันก็ยังมีโอกาสที่จะพอทำเงินได้บ้าง"

พวกเขามีตัวตน

โครงการ "เราไม่ทิ้งกัน"ออกนโยบายช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยแจกเงินจำนวน 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน โดยให้เริ่มลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค. ที่ผ่านมา กลุ่มอาชีพ 4 กลุ่มหลักที่จะได้รับพิจารณาเป็นกลุ่มแรก ๆ ก็คือผู้ค้าสลากกินแบ่งรัฐบาล คนขับแท็กซี่ วินมอเตอร์ไซค์ และมัคคุเทศก์

จากผู้ลงทะเบียนทั้งสิ้น 24.5 ล้านคน มีผู้ผ่านการอนุมัติเงินให้ในกลุ่มแรก 1.6 ล้านคน และได้รับเงินโอนเข้าบัญชีกันไปแล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ไม่สามารถลงทะเบียนได้ด้วยหลาย ๆ เหตุผล โดยหนึ่งในนั้นก็คือลักษณะอาชีพที่เข้าข่ายผิดกฎหมายอย่างพนักงานบริการภาคบันเทิง

บีบีซีไทยติดต่อนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อสอบถามเรื่องหลักเกณฑ์อาชีพของผู้ลงทะเบียนขอรับความช่วยเหลือ

นายจุติอธิบายว่าใครก็ตามที่ถือสัญชาติไทยและอายุ 18 ปี บริบูรณ์ขึ้นไปและได้รับผลกระทบจากการขาดรายได้ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็สามารถลงทะเบียนได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะทำอาชีพอิสระ จะมีนายจ้างหรือไม่ก็ตาม

"เราไม่ได้มีข้อกำหนดเลยว่าจะต้องมีหนังสือรับรองจากนายจ้างหรือไม่ ถ้าคุณเป็นคนไทยตามเงื่อนไข คุณก็ลงทะเบียนรับเงินค่าเยียวยานี้ได้หมด" นายจุติย้ำ

"หากคุณอยู่ในภาคธุรกิจที่ไม่ถูกกฎหมาย คุณก็สามารถลงทะเบียนได้เพราะถือว่าอยู่ในภาคธุรกิจบริการการท่องเที่ยวเหมือนกัน ในช่องของอาชีพ คุณก็เลือกเป็นพนักงานนวดแผนโบราณมาเท่านี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว แต่ถ้ามีข้อสงสัยประการใดก็สามารถสอบถามเงื่อนไขและขอความช่วยเหลือจากพนักงานของเราผ่านคอลเซ็นเตอร์ได้"

จันทวิภา อภิสุข ผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ แสดงความคิดเห็นในเรื่องของเงินเยียวยา 5,000 บาทนี้ว่าเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ไม่ยั่งยืน เพราะไม่มีใครรู้ว่าเหตุการณ์จะจบลงเมื่อใด และต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าที่สถานการณ์จะกลับไปได้เหมือนปกติ

"เรื่องการยอมรับนั้นสำคัญกว่าเงินเยียวยา เจ้าหน้าที่ภาครัฐต้องเลิกปิดหูปิดตาแล้วยอมรับได้แล้วว่าพนักงาน sex worker มีตัวตน พวกเขามีอยู่จริง และพวกเขามีความสำคัญต่อเศรษฐกิจบ้านเรา แทนที่จะไปล่อซื้อ จับกุม ปรับ และตีตรา เรามามองเห็นความสำคัญของพวกเขาต่อการประกอบอาชีพ ๆ หนึ่งเท่านั้นจะดีกว่า" จันทวิภา อธิบาย

"ไม่ต้องถึงกับทำให้อาชีพการค้าประเวณีเป็นสิ่งถูกกฎหมายและมีการเก็บภาษีเข้าและนำพวกเขาเข้าระบบสวัสดิการรัฐอะไรหรอก แค่คุณทำให้การค้าประเวณีเปิดเรื่องไม่ผิดกฎหมายก็พอแล้ว แล้วก็จะทำให้ออกกฎหมายข้ออื่น ๆ ตามมาได้ง่าย"

 

ขอบคุณที่มาเรื่องเล่าจาก


หญิงแม้น