100 days with Trump
By อิทธิพล ประสงค์ทรัพย์ ที่ปรึกษาด้านการลงทุนอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด
100 วันแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์จะไม่ได้สวยหรูอย่างที่เคยคาดการณ์ไว้ การใช้นโยบายด้านภาษีนำเข้าที่สูงเพื่อก่อให้เกิดการเจรจากับนานาประเทศดูจะเป็นความเสี่ยงกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากกว่าผลประโยชน์ที่อาจจะเกิดขึ้น คะแนนความนิยมของทรัมป์นั้นลดลงอย่างต่อเนื่องและต่ำกว่าอดีตประธานาธิบดีคนอื่นๆ
ในเดือนที่ผ่านมาความผันผวนของตลาดการเงินพุ่งขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่วิกฤตโควิด-19 ภายหลังวัน Liberation Day ที่ทรัมป์ประกาศการขึ้นภาษีตอบโต้ทางการค้ามากกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ซึ่งตามมาด้วยการตอบโต้จากประเทศจีนที่ปรับอัตราภาษีขึ้นกันเป็นรายวันจนในที่สุดทรัมป์ก็ได้ประกาศเลื่อนภาษีออกไป 90 วัน ดัชนีวัดความผันผวนหรือ VIX index เพิ่มขึ้นจากระดับ 21จุดไปอยู่ที่ระดับเกือบ 58 จุดก่อนปรับตัวลดลงมาที่ระดับ 25จุด ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนมากมองไปในทางเดียวกันว่าสาเหตุที่ทำให้ทรัมป์ต้องผ่อนปรนท่าทีออกไป
เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ นั้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลานั้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10ปีเพิ่มขึ้นจากระดับ 3.9% มาอยู่ที่ 4.56% ซึ่งเป็นสิ่งที่จะสร้างปัญหากับระบบเศรษฐกิจอย่างทันทีสอดคล้องกับท่าทีของ Scott Bessent รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ที่เคยให้แนวทางว่าจะให้ความสำคัญกับ Main street เช่น อัตราผลตอบแทนพันธบัตร มากกว่า Wall street หรือตลาดหุ้น ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็สามารถฟื้นตัวขึ้นจากระดับ 4900 จุด มาที่ 5560 จุดใกล้เคียงกับระดับก่อนวัน Liberation Day (ข้อมูลจาก Bloomberg ณ วันที่ 30 เมษายน 2025)
100 days with Trump
ดูเหมือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง 100 วันแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์จะไม่ได้สวยหรูอย่างที่เคยคาดการณ์ไว้ การใช้นโยบายด้านภาษีนำเข้าที่สูงเพื่อก่อให้เกิดการเจรจากับนานาประเทศดูจะเป็นความเสี่ยงกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากกว่าผลประโยชน์ที่อาจจะเกิดขึ้น คะแนนความนิยมของทรัมป์นั้นลดลงอย่างต่อเนื่องและต่ำกว่าอดีตประธานาธิบดีคนอื่นๆ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่ากว่า 10% ตลาดหุ้นสหรัฐฯ -9% ถือว่าเป็นการออกสตาร์ทที่แย่ที่สุดกว่าอดีตประธานาธิบดีคนอื่นๆ เกือบจะทั้งหมด ทั้งนี้นักวิเคราะห์ของจูเลียสแบร์ได้มีการปรับเพิ่มความน่าจะเป็นที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยใน 12 เดือนข้างหน้าขึ้นมาที่ระดับ 50% โดยมีโอกาสที่จะเกิดภาวะ Economic Stagnation (ภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะโตที่ 1.4% ลดลงจากที่เคยคาดการณ์ที่ 1.6% อัตราเงินเฟ้อจะคงอยู่ที่ 3% ทำให้เราคาดว่า FED จะลดอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 50bps ในการประชุมเดือน กรกฎาคมและกันยายน
เมื่อสถานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย” ของสหรัฐฯ ถูกท้าทาย คำถามหนึ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากนักลงทุนและสื่อ คือ บทบาทของสินทรัพย์สหรัฐฯ ในพอร์ตการลงทุน โดยเฉพาะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ พันธบัตรรัฐบาล และตลาดหุ้น หลังการประกาศนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ในวัน “Liberation Day” ตลาดกลับแสดงพฤติกรรมผิดคาด: พันธบัตรรัฐบาลอายุยาวถูกเทขาย ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ที่น่าจับตาคือ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ถ่วงน้ำหนักทางการค้าร่วงหลุดระดับ 100 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่กลางปี 2023 ทั้งที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยยังเอื้อต่อดอลลาร์อยู่ สะท้อนถึงแรงกดดันที่อาจเป็นสัญญาณลบต่อสถานะ “Safe Haven” ของสหรัฐฯ
หลายฝ่ายชี้ว่า นโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่เปลี่ยนแปลงเร็ว บวกกับปัจจัยเทคนิคในตลาดพันธบัตร เช่น การ unwind ของ basis trade และการประมูลพันธบัตรที่ไม่ประสบความสำเร็จ เป็นตัวกระตุ้น แต่ประเด็นที่ลึกกว่านั้นอาจอยู่ที่ความเชื่อมั่นพื้นฐานที่สั่นคลอน โดยเฉพาะจากนักลงทุนต่างชาติที่เริ่มลดความสนใจในสินทรัพย์ดอลลาร์ นำไปสู่ต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นสำหรับสหรัฐฯ ในด้านการคลัง สถานการณ์ก็ไม่น่าชื่นใจนัก แม้จะมีความหวังกับทีม “Government Efficiency หรือ DOGE” แต่การปรับลดขาดดุลงบประมาณยังไม่เกิดขึ้นจริง คณะกรรมการเพื่อความรับผิดชอบด้านงบประมาณคาดว่า ขาดดุลงบประมาณอาจแตะ 9% ของ GDP ภายในปี 2034 จากระดับประมาณ 7% ในปัจจุบัน ขณะที่รายจ่ายรัฐยังโตเร็วกว่ารายได้อย่างต่อเนื่อง แม้สถานการณ์จะน่ากังวล แต่เรายังไม่สรุปว่าสหรัฐฯ สิ้นสุดบทบาทในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย การเคลื่อนไหวของตลาดยังมีลักษณะผันผวน และดอลลาร์เองอาจอยู่ในภาวะ “ขายมากเกินไป” ซึ่งอาจนำไปสู่การรีบาวด์ในระยะสั้น หากเกิดขึ้นจริง นี่อาจเป็นโอกาสในการทบทวนมุมมองต่อการถือครองดอลลาร์อีกครั้ง ทั้งนี้คำแนะนำในการลงทุนเรายังคงมุมมองเช่นเดิมจากเดือนที่ผ่านมาที่ยังคงอยากให้ใช้จังหวะของการฟื้นตัวในการลดน้ำหนักในสินทรัพย์สหรัฐฯ โดยกระจายไปถือการลงทุนในสกุลเงินอื่นๆ เช่นสวิสฟรังก์ ยูโร รวมไปถึงทองคำ ขณะที่สินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นก็ควรกระจายการลงทุนไปในยุโรป และภูมิภาคเอเชียเช่นจีน ญี่ปุ่น และอินเดีย
ทั้งนี้ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและขอคำแนะนำจากผู้แนะนำการลงทุนของท่านเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน ข้อมูลนี้จัดทำโดยอาศัยที่มาจากแหล่งข้อมูลสาธารณะซึ่งปรากฎขณะจัดทำ ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปแต่ละขณะ ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
ที่มา https://www.bangkokbiznews.com/blogs/finance/investment/1178720