นักลงทุนสถาบัน หันใช้กลยุทธ์ portable-alpha เพิ่มผลตอบแทนในยุคใหม่

นักลงทุนสถาบัน หันใช้กลยุทธ์ “portable-alpha” เพิ่มผลตอบแทนในยุคใหม่ หลังห่างหายไปตั้งแต่วิกฤต 2008
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า กลยุทธ์การลงทุนที่ใช้การเลเวอเรจ (ยืมเงินเพื่อลงทุน) เพื่อสร้างผลตอบแทนสูงขึ้น กำลังได้รับความนิยมใหม่ในหมู่นักลงทุนรายใหญ่ แม้ว่าเคยล้มเหลวในช่วงวิกฤตการเงินปี 2551
กลยุทธ์นี้เรียกว่า “portable alpha” ซึ่งใช้อนุพันธ์ (derivatives) ติดตามผลตอบแทนจากดัชนีหุ้นแบบยาว (long-only indexes) แล้วนำเงินที่เหลือไปลงทุนในกลยุทธ์ที่เฮดจ์ฟันด์ชอบ เช่น การลงทุนตามแนวโน้มหรือกลยุทธ์หุ้นที่เป็นกลางตลาด
ในปีที่แล้ว 22% ของนักลงทุนสถาบัน, ธนาคารส่วนบุคคล และสำนักงานครอบครัว ใช้กลยุทธ์นี้ในการจัดสรรสินทรัพย์ เพิ่มขึ้นจาก 10% ในปี 2567 โดยการสนใจที่เพิ่มขึ้นมาจากความยากลำบากของผู้จัดการการลงทุนในการเอาชนะตลาดหุ้นที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และความกังวลเกี่ยวกับผลตอบแทนที่ต่ำลงในอนาคตเนื่องจากการประเมินมูลค่าสูงเกินไป
การใช้กลยุทธ์ portable alpha ช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงผลตอบแทนจากตลาดหุ้น และสามารถรวมกับalpha (ผลตอบแทนพิเศษ) ที่มาจากเฮดจ์ฟันด์ โดยส่วนใหญ่จะจ่ายค่าธรรมเนียมแค่สำหรับ alpha เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลือกที่มีค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก
หลังจากที่ล้มเหลวในปี 2551 เพราะสินทรัพย์ขายทิ้งพร้อมกันและไม่สามารถขายออกได้ในช่วงที่ตลาดร่วง ผู้สนับสนุนบอกว่าในตอนนี้สามารถทำให้กลยุทธ์นี้สำเร็จได้ด้วยการปรับปรุงความโปร่งใสและสภาพคล่อง
กลยุทธ์นี้ยังถูกนำไปใช้ในกองทุนที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (ETFs) โดยบางบริษัทได้เปิดตัว ETF ใหม่ที่เรียกว่า “return stacking” เพื่อให้เข้าถึงกลยุทธ์นี้ง่ายขึ้น โดยธนาคารต่าง ๆ ยังพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนแบบportable-alpha ในรูปแบบสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (swap) ที่เรียกว่า กลยุทธ์การลงทุนเชิงปริมาณ (QIS)
ในยุคที่มีการพัฒนาเทคโนโลยี AI หุ้นบางตัวอย่าง Nvidia และ Microsoft ครองการเติบโตของตลาด S&P 500 ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่หันมาใช้ portable alphaเพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากหุ้นโดยไม่ต้องลดสัดส่วนหุ้นในพอร์ต
จากการสำรวจ 75% ของนักลงทุนใช้ดัชนีหุ้นเป็นมาตรฐานในการติดตามผลตลาด (beta) และเลือกใช้เฮดจ์ฟันด์หลายกลยุทธ์เพื่อเพิ่มผลตอบแทน (alpha) ส่วนค่าธรรมเนียมการจัดการสำหรับการสร้าง alpha เฉลี่ยอยู่ที่ 1.4% และค่าธรรมเนียมตามผลการดำเนินงานอีก 17.4%
ทั้งนี้การใช้กลยุทธ์นี้ยังช่วยให้สามารถจัดการความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำและยืดหยุ่นในการเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับผลตอบแทนที่ต้องการ
อ้างอิง : bloomberg.com
ที่มา.. การเงินธนาคาร