ห้องเม่าปีกเหล็ก

เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังเผชิญ ‘แรงเสียดทาน’ ท้าทายรอบด้าน

โดย อินทรีย์ไม่บินเป็นฝูง
เผยแพร่ :
62 views

เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังเผชิญ ‘แรงเสียดทาน’ ท้าทายรอบด้าน

 

นักเศรษฐศาสตร์ห่วง เศรษฐกิจไทยเสี่ยงสูงขึ้น จากปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ล่าสุด ‘กสิกรไทย’หั่นจีดีพีปีนี้ลดลงเหลือ 1.2% จาก1.4% หวั่นผลกระทบลามปีหน้าศก.ดิ่งเหลือ 1.1%

 

เศรษฐกิจไทย” แรงเสียดทานรอบด้าน ทั้งการส่งออกที่เริ่มชะลอลงแรง ภาคการท่องเที่ยวไม่เป็นไปตามคาด ความล่าช้าในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศและความเสี่ยงด้านการลงทุนที่อาจไหลออกจากประเทศ ล่าสุดเจอความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา 

เหล่านี้ถือเป็นความเสี่ยงต่อ “เศรษฐกิจไทย” มากขึ้น โดยนักเศรษฐศาสตร์ประเมินว่า เลวร้ายสุดเศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวต่ำไปแตะระดับที่ 1.2% ในปีนี้ และผลกระทบยังลากยาวต่อเนื่องถึงปี 2569 ที่อาจทำให้เศรษฐกิจยิ่งตกต่ำเหลือและจะเห็นการเติบโตเพียง 1.1%

นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ล่าสุดศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินเศรษฐกิจไทยต่ำลงและปี 2568 เติบโตเพียง 1.2% จากเดิมปรับประมาณการลดลงเมื่อกลางปี เหลือ 1.4% จากความเสี่ยงหลายด้าน

ทั้งความไม่แน่นอนนโยบายการค้า ความล่าช้าเจรจาเศรษฐกิจ และแนวโน้มการส่งออกเริ่มติดลบระดับสองหลักครึ่งปีหลัง 

ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3-4 มีแนวโน้มติดลบเล็กน้อยทำให้เข้าภาวะ Technical Recession ได้ แม้ไม่รุนแรงในเชิงตัวเลขแต่ส่งผลความเชื่อมั่นและการตัดสินใจลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ภาษีนำเข้าในตลาดหลักเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อต้นทุนการผลิต และกระทบการตัดสินใจลงทุนระยะยาว หากโครงสร้างภาษีนำเข้าของประเทศคู่ค้าสำคัญต่ำกว่าไทย

“ไทยถูกจัดเก็บภาษี 36% บางประเทศได้ดีลต่ำกว่า 20% ทำให้ผู้ผลิตเริ่มพิจารณาย้ายฐานการผลิตออกจากไทย แม้ยังไม่เห็นการย้ายจริง แต่มีคำสั่งซื้อจำนวนหนึ่งถูกสวิตช์ไปประเทศอื่น สะท้อนความเสี่ยงการลงทุนไม่ไหลเข้าประเทศ และอาจถอนการลงทุนในระยะกลางซึ่งน่าห่วงมาก

สำหรับการท่องเที่ยวน่าห่วงกว่าที่คิด และล่าสุดปรับตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเหลือ 32 ล้านคน จากเดิมมองที่ 37.5 ล้านคน

ส่วนภาคการเงินน่าห่วงต่อเนื่องจากสินเชื่อหดตัว 2 ปีติด ยิ่งซ้ำเติมความเปราะบางที่เป็นอีกแรงฉุดสำคัญ และภายใต้สินเชื่อติดลบปีนี้ คาดว่าปีหน้าอาจติดลบอีก สะท้อนความเปราะบางของภาคเอกชนและผู้บริโภค การหดตัวของสินเชื่อหมายถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจไม่ขยายตัวหรือชะลอลงชัดเจนระดับฐานราก

ดังนั้น จากภาพเศรษฐกิจที่แย่กว่าคาด มีโอกาสช่วงที่เหลือปี 2568 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 2 ครั้ง และอาจลดแรงกว่าที่ประเมินไว้ที่ 0.50% หากสถานการณ์บีบคั้นจนต้องใช้กระสุนดอกเบี้ยพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ภาวะวิกฤติ

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยไม่จำกัดในปีนี้ แต่ปีหน้าเศรษฐกิจไทยน่าห่วงขึ้น โดยจีดีพีอาจขยายตัวเพียง 1.1% จากความเสี่ยงมากขึ้น เพราะไม่มีเครื่องยนต์เศรษฐกิจเหลือ ไม่ว่าจะเป็นส่งออก การลงทุนหรือการบริโภค ทั้งจากเสี่ยงจากการเมืองโลก การค้าชายแดน หรือสงครามการค้าใหม่ที่อาจตามมา

  • ไทยไม่มีเครื่องยนต์ใหม่หนุนเติบโต

ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจน่ากังวล โดยเฉพาะความเสี่ยงช่วงครึ่งปีหลังจะเห็นเศรษฐกิจติดลบได้ โดยปัญหาใหญ่ คือ ไม่มีเครื่องยนต์เศรษฐกิจมาขับเคลื่อนการเติบโตเลย ทำให้ช่วงครึ่งปีหลัง โมเมนตัมของเศรษฐกิจน่าจะชะลอตัวลงช่วงปลายปีนี้และต่อเนื่องถึงต้นปีหน้า

ทั้งนี้ เกียรตินาคินภัทร ประเมินจีดีพีปีนี้ 1.6% แต่มีความเสี่ยงต่ำกว่าประเมินจากความเสี่ยงสูงขึ้น และในครึ่งปีหลังอาจเห็นจีดีพีติดลบไตรมาสต่อไตรมาส หากเทียบครึ่งปีแรกทำให้เศรษฐกิจครึ่งปีหลังอาจขยายตัวต่ำกว่า 1% ดังนั้น เป็นไปได้ที่เศรษฐกิจไทยต่ำกว่าประเมินไว้และอาจเห็นเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิคช่วงครึ่งปีหลังได้ 

รวมทั้งสงครามการค้าเป็นความเสี่ยงใหญ่สุด โดยหากไทยถูกสหรัฐเก็บภาษีอัตรา 36% เป็นเรื่องใหญ่มาก จากที่คาดไว้ 10-15% ดังนั้นจะกระทบเศรษฐกิจไทยชัดเจน โดยส่งออกครึ่งปีหลังจะหดตัวรุนแรง

และสิ่งที่น่ากลัวคือการที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีเพิ่มกับประเทศที่มีสินค้าที่มีส่วนประกอบจากจีน 20-30% เหล่านี้ถือเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้น และกระทบต่อการลงทุนใหม่ทั้งหมด

นอกจากนี้ ภาคการท่องเที่ยวถูกมองว่าเป็นตัวที่อิมแพคเศรษฐกิจมากที่สุด จากความเสี่ยงว่าภาคการท่องเที่ยวจะแย่กว่าที่คาด รวมถึงความขัดแย้งระหว่างไทยกัมพูชาที่แม้มีผลต่อเศรษฐกิจโดยตรงอาจไม่มาก แต่จะกระทบความเชื่อมั่น

  • เศรษฐกิจไทยเสี่ยงชะงักงัน-ถดถอยทางเทคนิค

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยเสี่ยงขาลงมากขึ้น (downside risk) จากความไม่แน่นอนสงครามการค้าที่มีน้ำหนักมากสุด เพราะจะกระทบบรรยากาศการลงทุนระยะยาวปีนี้และปีหน้า

โดยมีเส้นตายวันที่ 1 ส.ค.หากภาษีไทยสูงกว่าคู่แข่งที่มีตั้งแต่ 19-25% แต่หากไทยอยู่ที่ 36% หรือสูงกว่าจะเป็นความเสี่ยงมาก

ทั้งนี้จะกระทบการลงทุนอาจทำให้ต่างชาติที่วางแผนย้ายฐานการผลิตมาไทยเลือกไปประเทศอื่นแม้ไทยมีข้อได้เปรียบ ส่วนการส่งออกอาจติดลบหนักกว่าที่คิด และไทยเจอปัญหาการสวมสิทธิ์จีน

นอกจากนี้ ความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยมาจากความไม่แน่นอนการเมืองในประเทศ โดยต้องติดตามการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในเดือน ส.ค.2568 ว่าจะเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือไม่ ดังนั้นนักลงทุนรอความชัดเจนอาจทำให้บรรยากาศกาลงทุนซบเซาขึ้น

ส่วนประเด็นความขัดแย้งกับกัมพูชาหวังว่าจะจบลงได้เร็วและกลับสู่โต๊ะเจรจา แต่น่ากังวลต่อภาพรวม ซึ่งไม่ใช่แค่การค้าไทย-กัมพูชา ที่มีสัดส่วนเพียง 3% แต่ที่กังวลการลงทุนเพราะต่างชาติอาจชะลอและไม่ลงทุนในประเทศที่มีสงครามหรือมีความขัดแย้งระหว่างประเทศ

เศรษฐกิจไทยเสี่ยงเติบโตต่ำกว่า 1.8% ในปีนี้ โดยมองว่าสถานการณ์ดีที่สุดของเศรษฐกิจไทยคือภาวะ stagnation หรือเศรษฐกิจไม่ขยายตัวเลยเมื่อเทียบรายไตรมาส แต่กรณีเลวร้ายที่สุด หากการเจรจาการค้าล้มเหลว หรือปัญหาการเมืองรุนแรง จีดีพีไทยอาจลดลงไปที่ 1.4% และเกิด technical recession ได้

  • เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ท้ายแถวภูมิภาคแย่กว่าโควิด

ดร.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค SCB EIC ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยจะเติบโตที่ 1.5% ในปีนี้ และปีหน้าแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอลงอีก โดยคาดอยู่เพียง 1.4% เป็นภาพที่แย่กว่าปีนี้ โดยเศรษฐกิจไทยน่าห่วงแม้จีดีพีไม่หดตัวถึงขั้นวิกฤติ แต่การเติบโตระดับต่ำติดต่อกันโดยที่ยังไม่เห็นจุดต่ำสุดเป็นสิ่งน่ากังวล

ทั้งนี้ การพึ่งพาเครื่องยนต์ภายนอกทั้งการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ไม่ดีพร้อมกัน อีกทั้งยังขาดเครื่องยนต์ภายในมาช่วยขับเคลื่อน โดยปกติแล้วหากเครื่องยนต์หนึ่งดับ อีกเครื่องยนต์ยังไปต่อได้ แต่ตอนนี้ไม่เห็นเครื่องยนต์ใหม่มาช่วย ดังนั้นภายใต้ข้อจำกัดที่มากขึ้น

“หากเปรียบเทียบจีดีพีระดับ 1.5% หรือ 1.4% ปีหน้า แต่สำหรับไทยดูเหมือนอยู่ท้ายแถวภูมิภาค และกังวลกว่าช่วงโควิด-19 เพราะช่วงนั้นชัดเจนว่ากระทบท่องเที่ยวและเมื่อเปิดประเทศก็รู้ว่าเศรษฐกิจจะกลับมา แต่ปัจจุบันซึมยาวไม่รู้ว่ากระทบกว้างขวางแค่ไหน และหลายธุรกิจยังไม่ฟื้นเต็มที่จากโควิด-19 ทำให้แผลเก่ายังอยู่

 ดร.ทิม ลีฬหะพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายเศรษฐศาสตร์ ประจำประเทศไทยและเวียดนาม ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า ประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้ 2% มาจากครึ่งปีแรกเติบโตค่อนข้างมาก ทำให้ภาพทั้งปีอาจไม่ได้แย่เหมือนที่คิด

แม้จุดน่าเป็นห่วงมีมากขึ้นในครึ่งปีหลัง ที่เศรษฐกิจไทยอาจปรับลดลงเหลือเพียง 1% เท่านั้น

ทั้งนี้ยอมรับว่าปัจจัยความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย มีเพิ่มขึ้นแม้ว่าการประเมินการเติบโตของครึ่งปีหลังที่ 1% เป็นระดับที่ค่อนข้างระมัดระวังในระดับหนึ่งแล้ว แต่เราก็ไม่นิ่งนอนใจ เพราะความเสี่ยงเหล่านี้ยังคงเพิ่มความไม่แน่นอนให้มากยิ่งขึ้น

 

 

ที่ม..  https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1191753

 


อินทรีย์ไม่บินเป็นฝูง