คาดแบงก์เริ่มทยอย ขยับขึ้นดอกเบี้ย หลังกนง.ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี
นายปิติ ดิษยทัต เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ในวันที่ 28 กันยายน 2565 คณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 0.75% เป็น 1.00% ต่อปี โดยให้มีผลทันที
โดยคณะกรรมการประเมินว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ตามแรงส่งของภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นสำคัญ ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังอยู่ในระดับสูงจากการส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมาแม้แรงกดดันด้านอุปทานจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มคลี่คลาย ในภาพรวมแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อใกล้เคียงกับที่ได้ประเมินไว้ก่อนหน้า คณะกรรมการฯ เห็นว่าการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังเป็นแนวทางการดำเนินนโยบายที่เหมาะสม จึงเห็นควรให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี ในการประชุมครั้งนี้
ขณะที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 3.3% ในปี 2565 และ 3.8% ในปี 2566 ตามแรงส่งของภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นสำคัญ โดยภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้ดีกว่าคาดจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังมีความทั่วถึงมากขึ้น ทั้งในมิติของสาขาธุรกิจโดยเฉพาะภาคบริการและในมิติของรายได้ที่เริ่มกระจายตัวดีขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงกว่าคาดส่งผลต่อภาคการส่งออก แต่ไม่ได้กระทบแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภาพรวม
“คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับเขาสู่ภาะปกติในสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้าตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติคาดว่าจะอยู่ที่ 9.5 ล้านคนในปี 65 และ 21 ล้านคนในปี 66ขณะที่ การที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงไม่ได้ส่งผลกระทบกับไทยมากนัก”
นายปิติ เปิดเผยต่อว่า อัตราตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2565 คาดว่าจะอยู่ที่ 6.3% ปรับเพิ่มขึ้นจากคาดการณ์เดือนมิ.ย. ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 6.2% และในปี 2566 คาดว่าเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 2.6% โดยมีแนวโน้มปรับลดลงตามราคาน้ำมันโลกและปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่ทยอยคลี่คลาย ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2565 คาดว่าจะอยู่ที่ 2.6% จากคาดการณ์เดิมที่ 2.2% และในปี 2566 คาดว่าเงินเฟ้อพื้นฐานจะอยู่ที่ 2.4% จากคาดการณ์เดิมที่ 2.0%
โดยโน้มสูงขึ้นจากการส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ ด้านค่าจ้างแรงงานปรับเพิ่มขึ้นในบางภาคธุรกิจและบางพื้นที่ที่ขาดแคลนแรงงาน แต่ยังไม่เห็นสัญญาณการปรับเพิ่มขึ้นในวงกว้าง นอกจากนี้ แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ยังมีจำกัดเนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังอยู่ระหว่างการฟื้นตัว สำหรับอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย คณะกรรมการฯ จะติดตามความเสี่ยงเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการส่งผ่านต้นทุนที่อาจเพิ่มขึ้นหากผู้ประกอบการเผชิญกับแรงกดดันด้านต้นทุนหลายด้านพร้อมกัน
ทั้งนี้ ในเรื่องเงินเฟ้อสิ่งที่คณะกรรมการติดตามใกล้ชิดคือเงินเฟ้อจะสูงแล้วยั่งยืนหรือฝังอยู่ในระบบเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตามประเทศไทยยังโอกาสที่เงินเฟ้อจะปรับตัวสูงยังมีไม่มาก โดยมีสาเหตุจากาก
1. วัฏจักรเศรษฐกิจ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยช้ากว่าหลายประเทศ โดยจีดีพียังไม่เติบโตเท่าระดับก่อนเกิดการระบาดของโควิด19 ดังนั้นแรงกดดันด้านอุปสงค์ของไทยจึงมีจำกัด 2. แรงกดดันของเงินเฟ้อไทยเป็นผลจากอุปทานและปัจจัยต่างประเทศเป็นสำคัญ 3.โอกาสเกิด wage-price spiral ในไทยมีจำกัดเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว โดยสัดส่วนลูกจ้างนอกภาคเกษตรของไทยต่ำกว่าหลายประเทศโดยอยู่ที่ 44% ขณะที่สหรัฐอยู่ที่ 92% ขณะที่ความสามารถในการต่อรองของลูกจ้างไทยไม่มากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น
“อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในส.ค. 65เป็นจุดสูงสุดแล้วและจะทยอยลดลงในไตรมาส 4 ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานจะพีคในไตรมาส 4 แล้วทยอยลดลงในไตรมาส 1 ปีหน้า และคาดว่าจะเข้ากรอบในไตรมาส 2 –3 ปีหน้า”
อย่างไรก็ตามระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ ธนาคารพาณิชย์มีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองที่เข้มแข็ง ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนปรับดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ยังมีผู้ประกอบการ SMEs ในบางสาขาธุรกิจที่ฟื้นตัวช้าและครัวเรือนรายได้น้อยบางกลุ่มที่ยังอ่อนไหวต่อค่าครองชีพ คณะกรรมการฯ เห็นว่าควรดำเนินมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเห็นความสำคัญของการมีมาตรการเฉพาะจุดและแนวทางแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนสำหรับกลุ่มเปราะบาง
ขณะที่ภาวะการเงินโดยรวมยังผ่อนคลาย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทยอยปรับสูงขึ้น ในขณะที่ต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนโดยรวมยังเอื้อต่อการระดมทุน ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ. ปรับอ่อนค่าเร็วและต่อเนื่องตามการแข็งค่าของดอลลาร์ สรอ. สอดคล้องกับสกุลเงินในภูมิภาค คณะกรรมการฯ จะติดตามพัฒนาการในตลาดการเงินและตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงที่ค่าเงินบาทมีความผันผวนสูงภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและเต็มศักยภาพ และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน
“คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่มีความเสี่ยงจากเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น จึงเห็นควรให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปเข้าสู่ระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว และในกรณีที่แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าเปลี่ยนไปจากที่ประเมินไว้ คณะกรรมการฯ พร้อมที่จะปรับขนาดและเงื่อนเวลาของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้เหมาะสมต่อไป”
นายปิติ เปิดเผยว่า การปรับดอกเบี้ยนโยบายรอบนี้คาดว่าจะเห็นการส่งผ่านจากสถาบันการเงินที่ชัดเจนมากขึ้น อย่างไรก็ตามจะส่งผ่านแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากยังมีความกังวลเรื่องความเปราะบางของลูกหนี้ที่ยังไม่ฟื้นตัวจากโควิด19
“หลังจากกนง. ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นรอบที่ 2 คาดว่าจะเห็นการส่งผ่านของธนาคารพาณิชย์ที่ชัดเจนขึ้น ปกติแล้วสถาบันการเงินจะส่งผ่านประมาณ 40-50% ของกนง. แต่ปัจจุบันมีสิ่งที่แตกต่างจากที่ผ่านมาคือความเปราะบางของลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด19”