ห้องเม่าปีกเหล็ก

ศึกแกร็บ Grab vs. แท็กซี่สาธารณะ

โดย หมาฝัน
เผยแพร่ :
74 views

ศึกแกร็บ Grab vs. แท็กซี่สาธารณะ : จุดที่รัฐไทยกำลังประมาท

By รติ รัตนสวัสดิ์

 

  • Grab และแพลตฟอร์มข้ามชาติมีอำนาจในการกำหนดกติกาการแข่งขันมากกว่าผู้ประกอบการรายย่อย ส่งผลให้เกิดการควบคุมตลาดที่อาจไม่เป็นธรรมต่อคนขับแท็กซี่ในประเทศ
  • สิทธิของผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการ – ทั้งผู้โดยสารและคนขับควรมีสิทธิ์เลือกใช้บริการและกำหนดราคาตามกลไกตลาด แต่กฎหมายปัจจุบันยังไม่คุ้มครองสิทธิ์ของทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียม
  • ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล – รัฐควรพัฒนาแอปพลิเคชันขนส่งของตนเองเพื่อลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มข้ามชาติ และควรปรับปรุงกฎหมายให้ชัดเจนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในระบบขนส่งสาธารณะ

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำกล่าวของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมต่อเหตุการณ์ดังกล่าวเมื่อวันที่ 23 พ.ค. 68 ที่ผ่านมาว่า "อยากให้แท็กซี่นึกถึงผลประโยชน์ของผู้โดยสารเป็นสำคัญ" 

ท่านรู้สึกอย่างไรกับประโยคดังกล่าวเมื่อข้อความดังกล่าวเอ่ยขึ้นจากผู้มีหน้าที่ในการรับฟังปัญหาจากประชาชนกลุ่มหนึ่งในฐานะประชาชนผู้ให้บริการที่มีหน้าที่เป็นประกอบการรายย่อยที่ต้องหาเช้ากินค่ำ ไร้อำนาจต่อรองกับบรรษัทข้ามชาติอย่าง Grab Holdings Technology company

หากจะพูดถึงการวิเคราะห์ปัญหาและนำเสนอทางออกกับสังคมไทย ผู้เขียนจะนำเสนอให้ภาครัฐซึ่งเป็นผู้เกี่ยวข้องโดยตรงกับปัญหา ทั้งเป็นผู้ที่ปล่อยปะละเลยปัญหาการถูกเอารัดเอาเปรียบของพลขับแท็กซี่บางกลุ่ม ที่อาศัยความละหลวมในการบังคับใช้กฎหมายมาเอาเปรียบกับผู้ใช้บริการมามองปัญหานี้

ผู้เขียนเห็นว่า จุดที่รัฐก้าวพลาดในเรื่องดังกล่าว คือการที่รัฐมองข้ามความเท่าเทียมของผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการ

“การใช้บริการขนส่งสาธารณะควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางเลือกและสิทธิเสรีภาพ นี่คือความเสมอภาคและความเป็นธรรมทางการแข่งขันในระบบตลาด ไม่ว่าจะเป็นคนขับจากแพลตฟอร์มหรือคนขับแท็กซี่สาธารณะ

หากรัฐบาลยังมองไม่ออกว่า ผู้ให้บริการทุกคนควรมีสิทธิ์ที่จะเลือกผู้รับบริการ และมีอำนาจในการต่อรองราคาได้ด้วย” หากจะมองเรื่องนี้ในฐานะผู้ใช้บริการแพลตฟอร์มจากแอปพลิเคชั่น Grab คนหนึ่งโดยไม่ตัดสินเข้าข้างกลุ่มใด 

มองจากมุมมองของประชาชนผู้ใช้บริการ ผู้เขียนก็ขอให้ความเห็นว่าใช้บริการของประชาชนควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางเลือกและสิทธิเสรีภาพก็คงต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ให้บริการ

ไม่ว่าจะเป็น ในฐานะคนขับจากแพลตฟอร์มออนไลน์หรือแท็กซี่สาธารณะที่ขึ้นกับกรมการขนส่งทางบกว่าผู้ให้บริการในกลุ่ม Driver ทั้งหลายก็สามารถมีสิทธิ์ที่จะเลือกผู้รับบริการหรือลูกค้าและต่อรองราคาได้เช่นกัน นี่คือความเสมอภาค และความเป็นธรรมทางการแข่งขันในตลาด

 

 

ความเป็นธรรมในตลาดการแข่งขันจะต้องเกิดขึ้นกับทั้งผู้ใช้บริการที่เปรียบเสมือนเป็นผู้ซื้อของ หรือผู้นำเงินของตนไปซื้อบริการ ในขณะเดียวกันผู้ขาย หรือผู้ให้บริการอย่างคนขับแท็กซี่สาธารณะก็ย่อมต้องการขายของที่ตนมีกำไร เมื่ออุปสงค์และอุปทานเกิดสนธิกันที่ความพึงพอใจในทางเลือกของทั้งสองฝ่ายการซื้อขายย่อมเป็นธรรม

เกมส์การต่อรองในตลาดขนส่งสาธารณะนี้ก็คงจะไม่มีทางออกมาแบบเป็นธรรมและเป็นกลางอย่างที่สังคมไทยต้องการ หากประชาชนรับได้กับการที่พลขับแท็กซี่ในระบบแพลตฟอร์มกดยกเลิกงานในแอพ ก็จำเป็นต้องรับได้กับการที่แท็กซี่มิเตอร์ส่ายหัวไม่รับผู้โดยสารขึ้นรถของตน

ปัญหาหลักของเรื่องความไม่ชอบธรรมระหว่างผู้ให้บริการแอพพลิเคชั่น กับผู้ประกอบการรายย่อยหรือคนขับแท็กซี่ ในฐานะที่ไม่ใช่ทั้งสองฝ่ายไม่ใช่ลูกจ้างของรัฐ คนอาจจะคิดว่าปัญหาแท็กซี่ไม่กดมิเตอร์เป็นปัญหาใหญ่…..

แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่าคือ ไม่ว่าแท็กซี่มิเตอร์หรือผู้ให้บริการแพลตฟอร์มทำผิดกฏหมาย กฎหมายไทยจะยังไม่อนุญาตให้ผู้ใช้บริการไปฟ้องร้องกับคนขับโดยตรง แต่จะให้ร้องเรียนผ่านหน่วยงานหน่วยงาน สคบ. ซึ่งทำให้ปัญหาของการฟ้องร้องทับซ้อนกันอย่างไม่ตรงไปตรงมา 

ทั้งนี้มิใช่เพียงแต่คนขับเท่านั้นที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม การไม่สามารถเอาผิดกับผู้ประกอบการได้โดยตรง ยังสามารถที่จะส่งผลให้ผู้โดยสารในฐานะของผู้บริโภคถูกเอาเปรียบอีกทอดหนึ่ง 

ทั้งนี้จาก พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ถึง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2562 (ฉบับปัจจุบัน) ยังคงดำเนินไปในรูปแบบของมาตรการการแก้ปัญหาที่ผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการรูปแบบรถรับจ้าง ให้สิทธิ์ประชาชนที่จะร้องเรียน หรือคอมเพลน

หากผ่านระบบแอพพลิเคชั่น ผู้รับผิดชอบทั้งหมดจะเป็นบริษัทที่มีแอพพลิเคชั่นเป็นผู้ร่วมรับผิดชอบกับคนขับ ในขณะเดียวกัน ผู้ใช้บริการไทยที่ใช้บริการแท็กซี่ส่วนบุคคลหรือแท็กซี่รับจ้างภายใต้กรมการขนส่งบริษัทรับเหมารถเช่าต่างๆ ยังมีสัญญาที่คลุมเครือ และขาดผู้รับผิดชอบต่อการบริการที่แย่ ไร้ช่องทางการติชมและการมองเห็นสถิติต่างๆของคนขับในฐานะผู้ให้บริการ

ในขณะที่แอพพลิเคชั่นดังกล่าวสามารถโชว์เรื่องการร้องเรียน รวมถึงการรีวิวและการตรวจสอบคนขับกับผู้ขึ้นทะเบียนได้โดยตรง

นี่คือข้อแตกต่างที่ทางภาครัฐใช้กฎหมายบังคับผู้ประกอบการฝ่ายเดียวให้ทำตาม นั่นก็คือผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ข้ามชาติมาหาผลประโยชน์โดยมีผู้ประกอบการไทยหนุนหลัง

ในขณะเดียวกันข้อเรียกร้องและปัญหาการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรมระหว่างประชาชนกับคนขับแท็กซี่สาธารณะ ภาครัฐไม่เคยแก้ไขปัญหาหรือเหลียวแลพวกเขา จนล่วงเลยมานับเป็นเวลาหลายสิบปี ที่แอพพลิเคชั่นดังกล่าวมีอภิสิทธิ์เหนือการต่อรองอำนาจของประชาชนชนไทย

ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 4 กลุ่ม หรือ 4 Stakeholders จากกรณีผลกระทบการประทะกันระหว่างแท็กซี่สนามบิน และบริษัท Grab ทั้งนีเกี่ยวข้องกับคนสี่กลุ่ม

1.ประชาชนในฐานะผู้ใช้บริการในฐานะของผู้ใช้บริการ ก็อยากได้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองจะเป็นความปลอดภัย หรือความชัดเจนเรื่องค่าโดยสารและความจริงใจในการโบกรถ

2.ผู้ให้บริการแอพพลิเคชั่น  แน่นอนการทำกำไรถือเป็นเป้าหมายสูงสุดขององค์กรมหาชน ในระดับที่มีหุ้นส่วนเป็นผู้มีรายได้ครอบคลุมที่ถือครองอัตราส่วนใหญ่ที่สุดของตลาด

3.กลุ่มคนขับแท็กซี่ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของแท็กซี่สาธารณะหรือแท็กซี่ที่ลงทะเบียนกับบริษัทแพลตฟอร์ม

แน่นอนสำหรับคนกลุ่มคนเหล่านี้ สิ่งที่มาก่อนอันดับแรกก็คือเงินเหลือในกระเป๋า หากจะเปรียบเทียบการให้ผลประโยชน์ที่มากกว่า ในลักษณะที่ผู้ประกอบอาชีพขับรถเป็นอาชีพเสริมย่อม เข้าหาทางแอพพลิเคชั่นดังกล่าวมากกว่า

เนื่องจากการตรวจสอบของกฎระเบียบที่เข้าง่าย ออกง่าย และได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าย่อมมีประโยชน์กว่า

4.เจ้าหน้าที่รัฐและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในกฎหมายที่คุ้มครองการให้บริการการขนส่งสาธารณะทุกประเภท

ในบรรดาผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้ง 4 กลุ่มที่กล่าวถึง ผู้ที่ได้เปรียบมากที่สุดก็คือผู้ที่มีสิทธิ์มากกว่าในการถือครองปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น ทรัพยากรมนุษย์หรือเงินทุน รวมไปถึงปัจจัยความคุ้มครองในข้อกฎหมาย ก็คือผู้ประกอบการที่ให้บริหารแพลตฟอร์ม ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตของระบบที่สร้างทั้งความสะดวกสบาย และเป็นหนึ่งในผู้สร้างปัญหาในภายในเวลาเดียวกัน

กล่าวโดยสรุป ผู้เขียนมองว่าหลักการแก้ปัญหาจะต้องคำนึงถึงข้อกฎหมายในการเอาผิดกลุ่มคนทุกภาคส่วน ถึงแม้ตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ผู้ใช้บริการมีสิทธิ์มากที่สุดในการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตน

ในขณะที่ตามกฎหมายกรมขนส่งการที่ผู้ประกอบการรายย่อยหรือคนขับแท็กซี่จะสามารถฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้ให้บริการในฐานะที่เป็นตัวแทนของบริษัทเอกชน ผู้นำเข้าแอพพลิเคชั่นดังกล่าวเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก

เนื่องจากกฎหมายรองรับเงื่อนไขในองค์ประกอบความผิดไว้ที่ผู้ให้บริการที่เป็นบุคคลมากกว่าเป็นตัวองค์กร ส่งผลให้ผู้ให้บริการที่เป็นบุคคลนั่นคือคนขับแต่ละคนที่ใช้เพียงแอพพลิเคชั่นเป็นทางเลือกในการเข้าไปสมัครเพื่อใช้บริการในการของานจากแพลตฟอร์มทำเท่านั้น

เสมือนหนึ่งสมัครไปเป็นหนึ่งในผู้ใช้บริการของแพลตฟอร์มด้วยซ้ำ ทั้งนี้ในปัจจุบันกฎหมายไทยยังไม่สามารถเอาผิดโดยตรงกับผู้ออกนโยบาย ในฐานะผู้บังคับบัญชา หรือผู้ร่วมบริหารของบริษัทเอกชนซึ่งเป็นเจ้าของแอพพลิเคชั่นดังกล่าวได้

3 คำถามที่ผู้เขียนสงสัยและอยากฝากไปถึงรัฐบาลไทย

1.แอพพลิเคชั่นดังกล่าวทำรายได้เป็นภาษีกลับเข้าในกองคลังให้ประเทศชาติเป็นจำนวนเงินเท่าไร ?

2.ความคุ้มได้คุ้มเสียที่ประชาชนควรได้จากการขนส่งสาธารณะในฐานะผู้เสียภาษี มันคุ้มค่ากับการที่รัฐเปิดโอกาสให้แอพดังกล่าวเข้ามาทำกำไรและกอบโกยเงินออกไปหรือไม่ ?

3.หากรัฐบาลมองว่าการมีแพลตฟอร์มสร้างความเชื่อมั่นให้กับระบบขนส่งไทยได้จริง เหตุใดจึงไม่ผลิตแอพพลิเคชั่นแบบเดียวกันอย่างจริงจัง ภายใต้งบของภาษีประชาชน ที่ไม่จำเป็นต้องให้บริษัทข้ามชาติมากอบโกยเงินออกจากประเทศ ?

ข้อเสนอแนะจากผู้เขียน:

ควรแก้ไขกฎหมายให้ชัดเจนเรื่องสิทธิและหน้าที่ของทั้งสองฝ่าย คือผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ ซึ่งการตีความในกฎหมายปัจจุบันยังไม่ครอบคลุมและเข้าใจง่ายพอที่ประชาชนจะเข้าถึงการใช้บริการอย่างเป็นธรรม

*ผู้เขียน 

รติ รัตนสวัสดิ์

ปัจจุบันกําลังศึกษาวิชากฎหมาย มีประสบการณ์ในการร้องเรียน และการต่อสู้คดีเพื่อช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมต่อการกล่าวหาของผู้มีอํานาจในการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรมมาแล้วหลายคดี

 

แหล่งอ้างอิง:

http://www.lawgrad.ru.ac.th/AbstractsFile/6012015007/1574304943f4664a07d4141a7c2468d05159d0da73_abstract.pdf

https://research.kpru.ac.th/research2/pages/filere/1649062346.pdf

https://www.isranews.org/content-page/item/52168-car-52168.html

https://www.thaipost.net/economy-news/794184/

https://ethesisarchive.library.tu.ac.th/thesis/2016/TU_2016_5802030956_5244_3965.pdf

 

ที่มา..  https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1182396

 


หมาฝัน