สรุปไทม์ไลน์ ทำไม King Power ถึงอยากยกเลิกสัญญา ดิวตี้ฟรี กับ AOT | MONEY LAB
ในวันนี้ได้มีข่าวว่า ทางบริษัท King Power ซึ่งเป็นผู้ประกอบการร้านค้าดิวตี้ฟรี ในสนามบินสุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, เชียงใหม่, ภูเก็ต และหาดใหญ่
ได้ยื่นหนังสือไปถึงทาง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เพื่อหารือหาแนวทางและข้อยุติอื่น ๆ
รวมไปถึงแนวทางในการพิจารณายกเลิกสัญญา ประกอบธุรกิจร้านค้าดิวตี้ฟรี ในสนามบินเชียงใหม่ ภูเก็ต และหาดใหญ่ ให้ได้ข้อยุติภายใน 45 วัน

ด้วยสาเหตุหลัก ๆ ที่มาจากเศรษฐกิจที่หดตัว นักท่องเที่ยวที่หดหาย จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว และนโยบายลดภาษีสินค้าประเภทไวน์
รวมไปถึงการที่ AOT ขอคืนพื้นที่ประกอบกิจการบางส่วน ล้วนทำให้ยอดขายของทาง King Power ลดลง
และถึงแม้ว่าทาง King Power จะยังคงแบ่งค่าตอบแทนในอัตรา 20% ของยอดขายในแต่ละเดือน ให้กับทาง AOT อยู่
แต่หลังจากมีข่าวนี้ออกมา ก็ส่งผลให้ราคาหุ้นของ AOT ในตอนนี้ ปรับตัวลดลงมาแล้ว -6.25%
อยู่ที่ราคา 30 บาทต่อหุ้น ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ต่ำกว่าช่วงโรคระบาดในช่วงปี 2563 ที่ราคาลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 45.25 บาทต่อหุ้นเลยด้วยซ้ำ
และหากย้อนกลับไปดูในช่วงที่เคยเห็นราคานี้ เราต้องย้อนกลับไปในปี 2558 หรือ 10 ปีที่แล้วเลยทีเดียว
หากจะไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ของเรื่องนี้ดู ก็จะสรุปออกมาได้แบบนี้
1. เริ่มต้นสัญญาใหม่ปี 2562
ทาง King Power ได้รับสิทธิ์ในการทำธุรกิจสินค้าปลอดภาษีจาก AOT โดยมีสัญญาใหม่ กำหนดให้จ่ายผลตอบแทนในรูปแบบของ "ส่วนแบ่งรายได้" แบบ Minimum Guarantee ในอัตรา 30% ต่อปี
สำหรับกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร หรือร้านค้าดิวตี้ฟรี ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่
ซึ่งในปี 2562 นี้เอง ยังเป็นช่วงก่อนเกิดวิกฤติโรคระบาด และเป็นปีที่การท่องเที่ยวในไทยเติบโตจนถึงขีดสุด ส่งผลให้รายได้รวมของ King Power อยู่ที่ 61,192 ล้านบาท
2. ปี 2563 เริ่มแก้ไขสัญญาครั้งแรก
เมื่อวันที่ 28 กันยายน ปี 2563 ได้มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดของสัญญา โดยยืดระยะเวลาสัญญาเพื่ออนุญาตให้ King Power ประกอบกิจการร้านค้าดิวตี้ฟรี
ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่ ไปจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ปี 2576 จากเดิมที่อยู่ถึงปี 2574
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้กลับเกิดวิกฤติโรคระบาดขึ้น ส่งผลให้รายได้ของ King Power ลดลงมาเรื่อย ๆ เป็นเวลาหลายปี ระหว่างปี 2563 ถึง ปี 2566
และจนถึงตอนนี้เอง ก็ยังไม่สามารถกลับไปสู่จุดเดิมก่อนจะเกิดโรคระบาดได้อีกเลย
3. หลังวิกฤติโรคระบาดผ่านไป ผลประกอบก็ยังไม่ฟื้น
แม้วิกฤติโรคระบาดจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่สถานการณ์การท่องเที่ยวของไทย ก็ยังไม่เคยฟื้นตัวกลับไปถึงจุดเดิมได้อีกเลย
นอกจากนี้เอง ก็ยังมีผลกระทบจากเรื่องการเปลี่ยนแปลงจากโดยนโยบายภาครัฐ เข้ามาส่งผลกระทบอีก
เพราะในช่วงเดือน พฤศจิกายน ปี 2566 รัฐบาลต้องการกระตุ้นการบริโภค และใช้จ่ายสินค้าในประเทศ
จึงได้มีการยกเลิกการละเว้นอากรขาเข้าสำหรับสินค้าที่นักท่องเที่ยวซื้อจากร้านค้าดิวตี้ฟรี เพื่อให้เม็ดเงินจากการใช้จ่ายในร้านค้าดิวตี้ฟรี เปลี่ยนมาเป็นการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในประเทศแทน
ตรงนี้ส่งผลให้ ธุรกิจร้านค้าดิวตี้ฟรี อย่าง King Power ที่เคยได้ประโยชน์ กลับต้องเสียผลประโยชน์
และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ King Power พยายามต่อรองเงื่อนไขสัญญาเช่าพื้นที่ค้าปลีกกับ AOT ใหม่อีกครั้งหนึ่ง
4. King Power เริ่มขาดสภาพคล่อง
เมื่อรายได้หดหายแบบนี้ ก็ทำให้สภาพคล่องของ King Power ย่ำแย่ลง
เห็นได้จากอัตราส่วนสภาพคล่อง หรือ Current Ratio ของ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ที่ดูแลร้านค้าดิวตี้ฟรีในสนามบิน ช่วงที่ผ่านมา จะอยู่ในระดับปริ่ม ๆ 1 เท่า
- ปี 2564 Current Ratio อยู่ที่ 0.87 เท่า
- ปี 2565 Current Ratio อยู่ที่ 1.43 เท่า
- ปี 2566 Current Ratio อยู่ที่ 0.99 เท่า
ซึ่งแปลว่า บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด มีสินทรัพย์ระยะสั้น เช่น เงินสด และลูกหนี้การค้าที่มี แทบจะไม่พอกับการจ่ายหนี้สินระยะสั้น ที่หลัก ๆ แล้วก็น่าจะเป็น เจ้าหนี้การค้าเลย
และแน่นอนว่า เจ้าหนี้การค้า รายใหญ่ที่สุดของ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ก็คือ AOT นั่นเอง
พอเป็นแบบนี้ King Power ก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะต้องขอเจรจา เพื่อผ่อนผันการจ่ายส่วนแบ่งผลประโยชน์จากพื้นที่พาณิชย์ที่ค้างจ่าย AOT ประมาณ 4,000 ล้านบาท
โดยในเดือนสิงหาคม ปี 2567 ทาง King Power ได้ยื่นหนังสือถึง AOT เพื่อขอขยายเวลาชำระเงินไปอีก 18 เดือน แต่ก็ต้องแลกกับการที่ King Power ต้องจ่ายค่าปรับ 18% ต่อปีด้วยเช่นกัน
และการที่ King Power ไม่สามารถจ่ายเงินคืนให้กับ AOT ได้ ก็ส่งผลให้ ลูกหนี้การค้าไม่หมุนเวียน หรือก็คือลูกหนี้การค้าที่ AOT เก็บเงินไม่ได้เกิน 1 ปี เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
- ปี 2564 ลูกหนี้การค้าไม่หมุนเวียน 623 ล้านบาท
- ปี 2565 ลูกหนี้การค้าไม่หมุนเวียน 619 ล้านบาท
- ปี 2566 ลูกหนี้การค้าไม่หมุนเวียน 883 ล้านบาท
- ปี 2567 ลูกหนี้การค้าไม่หมุนเวียน 2,025 ล้านบาท
ปัญหาเรื้อรังที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหลายปีนี้ ประกอบกับการแก้ไขปัญหาของทางฝั่ง AOT ที่นักลงทุนมองว่าดูจะอะลุ่มอล่วยให้กับทางฝั่ง King Power มากจนเกินไป
ก็เลยส่งผลให้ราคาหุ้นของ AOT ปรับตัวลดลงมาต่อเนื่อง
จน เข้าสู่ช่วงเดือนพฤษภาคม King Power ก็ได้ทำหนังสือหารือ แนวทางพิจารณายกเลิกสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร
ที่สนามบินภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่ โดยอ้างเหตุสุดวิสัยหลายประการที่ทำให้ประสบภาวะขาดทุน
แต่อย่างไรก็ตามทางคิงเพาเวอร์ทั้ง King Power Suvarnabhumi (KPS) และ King Power Duty-Free (KPD) ก็ได้ชำระเงินประกันขั้นต่ำตามเวลาที่กำหนด
ทำให้ราคาหุ้นของ AOT ปรับเพิ่มขึ้น 3.92% ขึ้นที่ระดับราคา 39.75 บาท
แต่ผ่านมาไม่นานเมื่อช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ราคาหุ้น AOT ก็ร่วงลงแรงถึง 8% ลงมาอยู่ที่ 34.50 บาท หลังที่ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมา
และหากเราดูตัวเลขผลประกอบการที่ประกาศออกมา จะเห็นว่า แม้รายได้จะลดลงเพียงเล็กน้อย ลดลง -0.1% แต่กำไรลดลง -12.6% จากปีก่อน
สาเหตุสำคัญเป็นเพราะรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์สัมปทานลดลง จากการเรียกคืนพื้นที่ดิวตี้ฟรี และนโยบายยกเลิก ดิวตี้ฟรีขาเข้าอย่างที่กล่าวไปข้างต้น ทำให้รายได้ที่ไม่เกี่ยวกับการบิน ลดลง -13.7%
จนมาถึงการขอยกเลิกสัญญาดิวตี้ฟรีนี้ ก็ได้เข้ามาซ้ำเติมราคาหุ้นของ AOT อีกระลอก จนถ้าคิดตั้งแต่ต้นปีมาถึงตอนนี้ ราคาหุ้นของ AOT ก็ปรับตัวลงไปมากกว่า 50% แล้ว
เรื่องนี้น่าสนใจมากว่า ครั้งหนึ่ง King Power เคยถูกมองว่าเป็นเสือนอนกิน ในยุคที่การท่องเที่ยวของไทยเฟื่องฟู เพราะเป็นผู้รับสัมปทานดิวตี้ฟรีเพียงรายเดียวของ AOT
แต่ตอนนี้เมื่อการท่องเที่ยวกำลังซบเซา และนโยบายภาครัฐที่เปลี่ยนแปลงไป
ก็ทำให้ King Power ที่เคยเป็นเสือนอนกิน กำลังกลายเป็นเหยื่อที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากสภาพอุตสาหกรรมที่ไม่เหมือนเดิม
แถมยังส่งผลกระทบต่อไปถึงเสือนอนกินอีกรายอย่าง AOT ด้วย..
References
-https://www.infoquest.co.th/2025/503126
-https://www.kaohoon.com/breakingnews/750957
-https://www.morningstar.com/stocks/xbkk/aot/financials
-กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก.. เพจ MONEY LAB