ห้องเม่าปีกเหล็ก

กลุ่ม ปตท.ผลงานอ่วม สวนทางนักวิเคราะห์ยังเชียร์ "ซื้อ"

โดย poomai
เผยแพร่ :
108 views

ไตรมาส 1/63 กลุ่ม ปตท.ผลงานอ่วม สวนทางนักวิเคราะห์ยังเชียร์ "ซื้อ"

กลุ่ม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง แม้ตกอยู่ในสภาวะราคาน้ำมันดิบเคลื่อนไหวอยู่ในระดับต่ำ อย่างเช่นปัจจุบันนี้ แต่ก็มีปริมาณการซื้อขายต่อวันอยู่ในระดับสูง และนับเป็นหุ้นที่มีผลต่อดัชนีอย่างมาก


เมื่อการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ที่ส่งผลกระทบมาตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ได้รุนแรงมากขึ้น และกระจายเป็นวงกว้างทั่วโลก ทำให้แต่ละประเทศมีมาตรการ lockdown เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันอยู่ในระดับต่ำ และแน่นอนว่า มีผลต่อหุ้นกลุ่มนี้อย่างมาก โดยงวดไตรมาส 1/2563 ผลประกอบการของบริษัทเหล่านี้เป็นอย่างไรกันบ้าง และจะมีทิศทางเติบโตได้มากน้อยแค่ไหน วันนี้ Wealthy Thai มีคำตอบ


สำหรับ บริษัทในกลุ่ม PTT ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้แก่ PTTGC, IRPC, TOP, GPSC และ PTTEP 

 

 

PTT พลิกขาดทุน 1,554.35 ล้านบาท

นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/2563 มีผลขาดทุนสุทธิ 1,554.35 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 29,312.07 ล้านบาท


ทั้งนี้บริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 483,567 ล้านบาท ลดลง 12.2% เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานไตรมาสของ 1/2562  และมีกำไรจากการดำเนินงาน EBITDA  อยู่ที่ 32,385 ล้านบาท ลดลง 59.8%  จากไตรมาส 1/2562  สาเหตุหลักจากผลประกอบการที่ลดลงของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น ที่ได้รับผลกระทบสูงจากการขาดทุนสต็อกน้ำมัน


สำหรับกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติ มีผลการดำเนินงานลดลง เป็นผลจากราคาและปริมาณการขายของโรงแยกก๊าซฯ และราคาขายที่อ้างอิงราคาน้ำมันเตาในกลุ่มอุตสาหกรรมลดลง ส่วนผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจน้ำมันก็ลดลงจากการขาดทุนของสต็อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้นและปริมาณขายที่ลดลง ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันของอุตสาหกรรมพลังงานทั่วโลก ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการปิดเมืองของหลายประเทศ ส่งผลต่อความต้องการใช้น้ำมันในการเดินทาง และการขนส่ง 


ขณะที่ การดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีและวิศวกรรมกลับมีปัจจัยเชิงบวก จากการเข้าซื้อบริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) หรือ GLOW ของ GPSC รวมถึงธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเพิ่มขึ้นจากรายได้การขายที่เพิ่มขึ้นของบริษัท Murphy Oil Corporation และบริษัท Partex Holding B.V. ของ PTTEP  


ขณะที่คาดว่าทั้งกลุ่มปตท.จะสามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) และ ทบทวนปรับลดแผนการลงทุน (CAPEX) ในปี 2563 ได้ประมาณ 10-15% ส่วน โครงการลงทุนที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง เช่น โครงการท่อก๊าซฯเส้นที่ 5 ของ ปตท. และโครงการพลังงานสะอาด ของ TOP ยังคงดำเนินการตามแผนลงทุนเดิม


มุมมองของนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า  แนวโน้มผลการดำเนินงาน ไตรมาส 2/2563 ยังไม่โดดเด่น คาดการฟื้นตัวของโรงกลั่น และปิโตรเคมีจะถูกชดเชยด้วยผลประกอบการที่อ่อนแอของธุรกิจต้นน้ำ กดดันจากราคาน้ำมันดิบที่ต่ำลง โดยตั้งแต่ต้นไตรมาส 2/2563 ถึงปัจจุบัน น้ำมันดิบดูไบเฉลี่ย 29.9 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล (-41% QoQ, -54% YoY)


นอกจากนี้ ธุรกิจก๊าซ และน้ำมันของ PTT เองยังถูกกดดันจาก Margin ที่ลดลงจากราคาขายที่อ้างอิงราคาน้ำมันเตากำมะถันสูง (HSFO) และราคาปิโตรเคมีหลักอย่าง HDPE, PP โดย ตั้งแต่ต้นไตรมาส 2/2563 ถึงปัจจุบัน HSFO เฉลี่ยที่23.3เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล (-46% QoQ, -64% YoY), HDPE เฉลี่ยที่ 730 เหรียญสหรัฐ/ตัน (-13% QoQ, -32% YoY), และ PP เฉลี่ยที่ 813 เหรียญสหรัฐ/ตัน (-17% QoQ, -29% YoY) รวมทั้งปริมาณขายยังมีแนวโน้มลดลง QoQ กดดันจากแผนปิดซ่อมบำรุงโรงแยกก๊าซที่ 1 จำนวน 25 วัน ช่วงเดือนมิ.ย., ความต้องการใช้ก๊าซของภาคอุตสาหกรรมลดลงจากผลกระทบของไวรัส COVID-19, และปริมาณจำหน่ายน้ำมันที่ลดลงจากผลกระทบการ Lockdown ชัดเจนขึ้น


คงคำแนะนำ TRADING ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2563 ที่ 33.00 บาท แม้ระยะยาว PTT ยังเป็นหุ้นแข็งแกร่งจากการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมพลังงานของประเทศ มี Upside จากการลงทุนธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งการ Spin off ธุรกิจค้าปลีก (PTTOR) อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการระยะสั้นยังไม่โดดเด่น ราคาปัจจุบันเต็มมูลค่าพื้นฐานแล้ว การฟื้นตัวของราคาน้ำมันอาจน่าจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ระยะสั้นหุ้นโรงกลั่น-ปิโตรเคมีที่ได้ประโยชน์จากต้นทุนน้ำมันต่ำ จึงมีความน่าสนใจมากกว่า โดยคาดปี 2563 PTT จพมีกำไรสุทธิ 66,352 ล้านบาท ลดลงจากปี 2562 ที่มีกำไรสุทธิ 92,951 ล้านบาท

 

 

PTTEP ไตรมาส 1 กำไรดิ่ง 30%

นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTTEP เปิดเผยว่า บริษัทมีกำไรสุทธิงวดไตรมาส 1/2563 อยู่ที่ 8,612 ล้านบาท ลดลง 28% จากไตรมาส 4/2562 และลดลง 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 55,335 ล้านบาท ลดลง 4% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยหลักมาจากปริมาณการขายเฉลี่ยลดลงมาอยู่ที่ 3.63 แสนบาร์เรลต่อวัน เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2562 อยู่ที่ 3.95 แสนบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากการเรียกรับก๊าซธรรมชาติจากโครงการในอ่าวไทยจากผู้ซื้อที่ลดลง


ในปี 2563 บริษัทได้ปรับลดการคาดการณ์ลดลง 7% เป็น 3.62 แสนบาร์เรลต่อวัน จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ที่ 3.91 แสนบาร์เรลต่อวัน ตามสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกตกต่ำ ประกอบกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19  ส่งผลให้ความต้องการใช้พลังงานในประเทศลดลงเป็นอย่างมาก รวมทั้งลดรายจ่ายการลงทุนของปี 2563 ประมาณ 15-20% จากเดิมที่ตั้งไว้ 4,613 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 1.43 แสนล้านบาท


ล่าสุดนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินว่า ตัวเลขกำไรสุทธิไตรมาส 1/2563 ดีกว่าที่ฝ่ายวิจัย และ Bloomberg consensus คาด 24% และ 10% ตามลำดับ โดยประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานปกติไตรมาส 2/2563 และช่วงที่เหลือของปีจะอ่อนแอลงจากไตรมาส 1/2563 กดดันจากปริมาณขายตามการเรียกรับก๊าซของลูกค้า และราคาก๊าซธรรมชาติที่มีแนวโน้มลดลง


จึงคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2563 ที่ 22,771 ล้านบาท ลดลง 53.34% จากปี 2562 ที่มีกำไรสุทธิ 48,802 ล้านบาท  ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปี 2563-2564 ที่ 40-42.5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ประเมินราคาน้ำมันทุก 1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ที่เปลี่ยนแปลงจากสมมติฐานหลัก จะส่งผลต่อกำไร 900 ล้านบาท ราคาเหมาะสม 2.3 บาท โดย คงคำแนะนำ TRADING ราคาเหมาะสมใหม่อยู่ที่ 78.00 บาท

 

 

GPSC งบดีเกินคาด

นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/2563 บริษัท มีรายได้รวม 18,308 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 102% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิ 1,580 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 68% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องมาจากการรับรู้รายได้จากการขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น และการรับรู้ผลประกอบการจากบริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) หรือ GLOW เต็มไตรมาสเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่รับรู้รายได้เพียง 18 วัน


สำหรับแผนดำเนินธุรกิจในปี 2563 บริษัทพร้อมเดินหน้าโครงสร้างองค์กรใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนเป็นต้นมา ภายหลังการเข้าซื้อกิจการ GLOW ซึ่งได้เข้ามาเป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัท GPSC ภายใต้การบริหารงานที่เป็นองค์กรเดียวกัน ก่อให้เกิดความแข็งแกร่งทางธุรกิจ โดยการจัดทำแผน Synergy ทั้งทางด้านประสิทธิภาพ ความพร้อมจ่าย และการสร้างความมั่นคงในระบบการจัดส่งไฟฟ้าและไอน้ำให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ส่วนของแผนการจัดทำ Synergy ของทั้งสองบริษัท ในระหว่างปี 2562 - 2567 คาดว่าในปีนี้ จะเริ่มรับรู้มูลค่าการทำ Synergy ร่วมกันได้ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 400 - 500 ล้านบาท


ล่าสุดนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า กำไรไตรมาส 1/2563 ออกมาดีกว่าตลาดคาด โดย แนวโน้มกำไรน่าจะดีขึ้นอีกในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งกำไรไตรมาส 1/2563 คิดเป็น 20% ของประมาณการทั้งปี โดยยังคงประมาณการกำไรและมองว่าแนวโน้มกำไรจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาสถัดๆ ไป ด้วยผลบวกของราคาก๊าซ และถ่านหินที่ลดลงแรงต่อเนื่อง ประกอบกับเข้าสู่ฤดูฝน ซึ่งจะส่งผลบวกต่อไซยะบุรีให้ผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้น  


ทั้งนี้ นับจนถึงกลางเดือนเม.ย. GPSC ยังไม่เห็นสัญญาลบที่เด่นชัดนักของการใช้ไฟฟ้าที่ลดลงของภาคอุตสาหกรรม (โดยเฉพาะภาคปิโตรเคมี) โดยมองว่าต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่ลดลงตามราคาเชื้อเพลิงจะเป็นตัวช่วยที่ดี หากความต้องการลดลงเกินกว่าคาด จึง ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมาย 74 บาท โดยคาดปี 2563 จะมีกำไรสุทธิ 7,818 ล้านบาท เติบโตจากปี 2562 ที่มีกำไรสุทธิ 4,061 ล้านบาท

 

 

PTTGC พลิกขาดทุนสุทธิ 8,784 ล้านบาท

น.ส. ดวงกมล เศรษฐธนัง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี PTTGC ระบุว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2563 พลิกขาดทุนสุทธิ 8,784 ล้านบาท จากรายได้การขายที่ลดลง และมาร์จิ้นธุรกิจปิโตรเคมีลดลง ประกอบกับราคาน้ำมันดิบดูไบปรับลดลงมากในสิ้นไตรมาส ส่งผลให้ขาดทุนสต็อกรวม 8,906 ล้านบาท รวมถึงยังมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนอีก 2,193 ล้านบาทกระทบต่อผลประกอบการ


บริษัทประเมินแนวโน้มตลาดน้ำมันในครึ่งปีหลัง โดยคาดราคาน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ที่ค่าเฉลี่ย 30-38 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ได้มีการคาดการณ์ถึงการเติบโตของความต้องการใช้น้ำมันของโลก (ณ เดือน เม.ย.63) ในปี 2563 อยู่ที่ระดับ 90.5 ล้านบาร์เรล/วัน หรือลดลง 9.3 ล้านบาร์เรล/วัน จากปริมาณความต้องการใช้ในปีที่ผ่านมา ซึ่งลดจากการประเมินในไตรมาสก่อนถึง 7 ล้านบาร์เรล/วัน อย่างไรก็ดีจากตลาดน้ำมันดิบในครึ่งปีหลังนี้ ยังมีความไม่แน่นอนจากการการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโดยเฉพาะตามเมืองใหญ่ ๆ ซึ่งอาจมีความยืดเยื้อจนส่งผลกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจของโลก จะเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันได้


ล่าสุดนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ราคาเคมีภัณฑ์น่าจะถึงจุดต่ำสุด โดยความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจโอเลฟินในไตรมาส 2/2563 จะฟื้นตัวตามการฟื้นตัวของโรงงานในไตรมาส 1/2563 ส่วน EBITDA น่าจะอ่อนตัวลงที่ 8-10% เนื่องจากราคา PE ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบ (ลดลงจาก 830 เหรียญสหรัฐ/ตัน มาอยู่ที่ 730 เหรีญสหรัฐ/ตัน) เศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวคาดส่งผลให้ราคาเคมีแตะจุดต่ำสุด


ขณะที่การฟื้นตัวในส่วนที่เหลือของเอเชีย ผนวกกับราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 3/2563 จะหนุนราคาเคมีภัณฑ์ให้สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของราคาจะถูกจำกัดด้วยกำลังการผลิตใหม่ของจีนและสหรัฐอเมริกาที่จะกลับมาในไตรมาส 4/2563 โดยคาดอัตรากำไรอะโรเมติกส์จะเพิ่มขึ้น 20-30% ในไตรมาส 2/2563 เนื่องจากคอนเดนเสท (วัตถุดิบ) ลดลงตามราคาน้ำมันดิบ ราคา PX น่าจะปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากอุปสงค์ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำในจีน (PET) ยังคงแข็งแกร่ง โดยมีอัตราการใช้ PTA อยู่ที่ 90%


ดังนั้นยังคงประมาณการไม่เปลี่ยนแปลง โดย PTTGC ยังคงเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่อยู่แนวหน้าในอุตสาหกรรมเคมีเนื่องจากมีสถานะทางการตลาดที่โดดเด่นในภูมิภาค (ยังคงรักษาส่วนแบ่งการตลาดได้ดี) มีอัตราส่วนหนี้สิน/ทุนต่ำ (D/E 0.4 เท่า), อัตราเงินปันผลตอบแทนสูง (เป็นบริษัทกึ่งรัฐวิสาหกิจ) มาร์จิ้นขยายตัวตามราคาเคมีภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น (ใช้ก๊าซเป็นวัตถุดิบ) เราคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 44 บาท แนะนำ “ซื้อ”


นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด
ระบุว่าปี 2563 PTTGC จะมีกำไรสุทธิ 4,421 ล้านบาท ลดลงจากปี 2562 ที่มีกำไรสุทธิ  11,682 ล้านบาท แต่ยังคงแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 43 บาท/หุ้น

IRPC พลิกขาดทุนสุทธิ 8,904 ล้านบาท

นางณิชชา จิรเมธธนกิจ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายบัญชีและการเงิน บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2563 บริษัทขาดทุนสุทธิ 8,904 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 153 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขายสุทธิ 43,617 ล้านบาท ลดลง 18% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2562 อยู่ที่ 59,721 ล้านบาท เนื่องจากราคาขายลดลง 11% ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง และปริมาณขายลดลง 2%


นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด มองว่า ขณะนี้ยัง แนะนำ ซื้อ ประเมินราคาเป้าหมายที่ 3.00 บาท โดย แนวโน้มกำไรปกติไตรมาส 2/2563จะอยู่ระดับ 100-200 ล้านบาท ถึงแม้กำลังการกลั่นคาดว่าจะลดเหลือเพียง 185 KBD เนื่องด้วยความต้องการใช้น้ำมันที่ลดลงจากผลกระทบ COVID-19 แต่ได้ต้นทุนของน้ำมันที่ลดลงมาชดเชยได้


โดยในช่วงไตรมาส 2/2563 คาดว่าจะได้ส่วนลด crude discount -3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ในขณะที่ไตรมาส 1/2563 เป็น crude premium  5เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และจะมีการกลับขาดทุนของสินค้าคงเหลือประมาณ  2,600 ล้านบาท ทั้งนี้เราคาดว่าครึ่งหลัง 2563 ผลกำไรจะดีกว่าครึ่งปีแรกหลังจากเริ่มคลาย lockdown ทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันเริ่มฟื้น และทำให้ gasoline spread ปรับดีขึ้น เราประเมินกำไรปกติปี 2563 ที่ 1,198 ล้านบาท พลิกเป็นกำไรจากขาดทุนในปี 2562 ที่ 1,174 ล้านบาท

 

 

TOP พลิกขาดทุนสุทธิ 13,754.49 ล้านบาท

นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ TOP เปิดเผยว่า ไตรมาส 1/2563 บริษัทขาดทุนสุทธิ 13,754.49 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4,408.31 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขายลดลง 14,974 ล้านบาท สาเหตุจากราคาขายผลิตภัณฑ์และปริมาณการขายปรับลดลงและมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันลดลง 3.10 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล สาเหตุหลักมาจากค่าการกลั่นที่ถูกกดดันอย่างหนักจากส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมกับน้ำมันดิบดูไบที่อ่อนตัวลง จากผลกระทบการระบาดของ COVID-19


ล่าสุดนักวิเคราะห์  บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) มองว่า ปัจจัยลบที่กดดันในไตรมาสก่อน จะพลิกกลับมาเป็นบวกเกือบทั้งหมดในไตรมาส 2/2563 ได้แก่ 1.ธุรกิจโรงกลั่น TOP ได้ปรับกลยุทธ์มาเลือกใช้น้ำมันดิบจาก Middle East เพิ่มขึ้นเป็น 65-70% ทำให้จะได้ประโยชน์เต็มที่จากการที่ซาอุฯ ลดราคาขายอย่างรุนแรง เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดในช่วงที่ความต้องการอ่อนแอ ดังนั้น ต้นทุนน้ำมันดิบของ TOP จะถูกลงมาก ซึ่งส่งผลบวกต่อ Mkt. GRM แม้ส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปจะยังอ่อนแอ และ U. rate อาจลดลง 10-15% ตามอุปสงค์ที่อ่อนแอตามมาตรการปิดเมือง


2.ธุรกิจ Aromatics & LAB ปรับตัวดีขึ้นอีก จากราคาน้ำมันเบนซินลดลงจากไตรมาสก่อน และอุปสงค์แข็งแกร่งตามความต้องการผลิตภัณฑ์ปลายน้ำประเภทขวดน้ำดื่มในฤดูร้อน 3.ไม่มีขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันจำนวนมาก จากราคาน้ำมันดูไบเริ่มฟื้นตัว โดยล่าสุดอยู่ที่ 27 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เทียบกับค่าเฉลี่ย 33.7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตอนสิ้นไตรมา  และ 4.ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (QTD) ซึ่งจะทำให้ได้กำไรจาก FX   ปัจจัยบวกเหล่านี้น่าจะทำให้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2563 ออกมาดี และครึ่งหลังของปีก็ดีขึ้นอีกหลังจาก COVID-19 คลี่คลาย ซึ่งจะทำให้ความต้องการน้ำมันกลับคืนมา  จึงแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายใหม่ 52 บาท ซึ่งมองว่าไตรมาสที่แย่ที่สุดได้ผ่านไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าปี 2563 จะพลิกขาดทุน 5,312 ล้านบาท จากปี 2562 มีกำไรสุทธิ 6,277 ล้านบาท

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


poomai