ห้องเม่าปีกเหล็ก

6 หุ้นโรงไฟฟ้ากับเส้นทางปี 64

โดย หญิงแม้น
เผยแพร่ :
84 views

6 หุ้นโรงไฟฟ้ากับเส้นทางปี 64 ใครจ่ายไฟเข้าระบบมากที่สุด?

ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าหลายบริษัทปรับเพิ่มขึ้นตอบรับข่าวการมาของโจ ไบเดนที่เน้นนโยบายการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการลงทุนด้านพลังงานสะอาด ซึ่งราคาหุ้นทะยานตอบรับกระแสข่าวไปแล้ว อย่างไรก็ตามจะต้องจับตาดูพื้นฐาน และปัจจัยการเติบโตของบริษัทจะปรับเพิ่มขึ้นไปพร้อมๆ กับราคาหุ้นได้หรือไม่ การที่ราคาหุ้นโรงไฟฟ้าปรับเพิ่มขึ้นเป็นเพียงกระแสการตอบรับข่าวเพียงอย่างเดียวหรือไม่? หรือจะเป็นความสามารถในการดำเนินธุรกิจของบริษัท ในวันนี้ Wealthy Thai จะพานักลงทุนไปตรวจสอบข้อมูลว่า แผนงานการดำเนินธุรกิจของบริษัทยักษ์ใหญ่ในไทย เป็นอย่างไรในปี 64 บริษัทไหนจะมีโรงไฟฟ้าอะไรที่จ่ายไฟเข้าระบบบ้าง และจะส่งผลต่อการประมาณการณ์รายได้และกำไรสุทธิอย่างไร รวมถึงเป็นจังหวะที่ควรจะเข้าไปซื้อได้หรือไม่

             

GULF โรงไฟฟ้า IPP เฟสแรกมาแล้ว 1,250 MW

             

ทาง Wealthy Thai ขออนุญาตเริ่มกันที่ GULF บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้ประกอบการธุรกิจไฟฟ้ารายใหญ่ของประเทศ โดยในปี 64 ถือเป็นปีที่ดีต่อเนื่องของ GULF เพราะโรงไฟฟ้าประเภท IPP ที่เป็นส่วนความหวังขนาดใหญ่จะเริ่มจ่ายไฟเข้าระบบแล้ว โดยในช่วงเดือนมี.ค.64 โรงไฟฟ้า GSRC เฟสที่ 1 จะเริ่มจ่ายไฟเข้าสู่ระบบ จำนวน 625 MW และหลังจากนั้นอีก 6 เดือนจะจ่ายไฟเพิ่มอีก 625 MW รวมเป็น 1,250 MW นอกจากนี้ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม Mekong (ประเทศเวียดนาม) เฟส 1 และ 2 จะจ่ายไฟเข้าระบบรวม 128 MW รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่ประเทศโอมาน ขนาดกำลังผลิต 326 MW นอกจากนี้ยังมีโครงการก่อสร้างโซลาร์ รูฟท็อปให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมขั้นต่ำ 300 MW

             

โดยบล.เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองว่ายังคงคำแนะนำซื้อ และให้ราคาเป้าหมาย DCF ปี 2564 ที่ 39.50 บาท เราชอบ GULF ในฐานะที่เป็นหุ้น super growth ในอีกสิบปีข้างหน้า โดยมองว่ายังมีโอกาสสร้างการเติบโตเพิ่มขึ้นได้อีกมาก (ก่อหนี้ได้อีกถึง 7-8 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นได้อีกถึง 2,600 MW

             

ด้านบล.บัวหลวง จำกัด (มหาชน) GULF ยังคงมองหาโอกาสลงทุนที่เวียดนามในโครงการ LNG-to-power ในหลายพื้นที่ รวมทั้งโครงการฟาร์มกังหันลมนอกชายฝั่ง ในทวีปยุโรป จึงมองเห็นโอกาสในการลงทุน ทั้งการเข้าซื้อกิจการที่ดำเนินการแล้ว, การเข้าลงทุนในโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา และการเริ่มพัฒนาโครงการใหม่ คำแนะนำพื้นฐาน แนวโน้มผลประกอบการในช่วง 4Q20-1Q21 ออกมาน่าประทับใจ และแนวโน้มการเติบโตของกำไรหลักในระยะยาวของ GULF โดดเด่นที่สุดในกลุ่มโรงไฟฟ้า แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 45 บาท

BGRIM รอลุ้นโครงการที่เตรียม M&A

             

ตามแผนงานที่วางไว้ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและจ่ายไฟเข้าระบบเพิ่มเติมคือโครงการ โรงไฟฟ้าพลังงานลมบ่อทอง วินด์ฟาร์ม 1&2 ขนาดกำลังการ 16 MW โครงการโรงไฟฟ้าไฮบริดที่อู่ตะเภา จำนวน 15MW และโครงการ BPAM Extension กำลังการผลิต 124 MW นอกจากนี้ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการเข้าซื้อกิจการ

             

โดยนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้า 60 บาท ยังคงประมาณการกำไรปกติปี 63 – 64 ที่ 2,784 ลบ. (+28.8% YoY) และ 3,426 ลบ. (+23.1% YoY) ตามลำดับ โดยในปี 64 ได้แรงหนุนจากโครงการอ่างทองพาวเวอร์ที่จะรับรู้รายได้เต็มปี (ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 123 MW) อีกทั้งได้ประโยชน์จากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่อยู่ในระดับต่ำเต็มปี แม้ว่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวของราคาก๊าซธรรมชาติในตลาดโลกบ้างแต่ยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ และการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเองยังมีต้นทุนที่ต่ำกว่าต้นทุนปัจจุบันที่อยู่ที่ราว 235 บาท/ล้าน BTU อยู่มาก

  

สำหรับโครงการใหม่ที่คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปีนี้อาจเลื่อนไปเป็นครึ่งแรกของปี 64 ขนาดกำลังผลิตรวมประมาณ 300 – 400MW ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในประเทศเป็นการ M&A มากกว่าที่จะคาดหวังกำลังการผลิตใหม่จากแผน PDP ซึ่งคาดว่าจะช่วยชดเชยกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าราชบุรีที่ย้ายโครงการไปอ่างทองทำให้การ COD เลื่อนออกไปจากปี 64 เป็น 65

 

RATCH มีโครงการใหญ่จ่ายไฟเข้าระบบ

 

ในปี 64 บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH มีโครงการที่ขณะนี้กำลังก่อสร้าง และคาดหมายว่าในปี 64 จะจ่ายไฟเข้าระบบเบื้องต้น ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม Collector ที่ประเทศออสเตรเลีย ขนาดกำลังการผลิต 226 MW และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ RIAU ที่ประเทศอินโดนีเซีย ขนาดกำลังการผลิต 296 MW รวมถึงโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ประเทศจีน โครงการ Fangchenggang II ขนาดกำลังผลิต 2,360 MW

             

บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คงประมาณการกำไรปกติปี 2564 ที่ 6,045 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 6.4% จากปี 63 โดยได้แรงหนุนจากการรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าพลังงานลมประเทศออสเตรเลีย โครงการ Collector ขนาด 227MW (227MWe) คาด COD ในไตรมาส 1/64 และยังรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติประเทศอินโดนีเซีย โครงการ Riau ขนาด 296MW (145MWe) คาดจ่ายไฟไตรมาส2/64 และโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ประเทศจีน โครงการ Fangchenggang II ขนาด 2,360MW (236MWe) คาด COD ในปี 64 คงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 64 ที่ 74 บาทต่อหุ้น

EGCO พลังงานลมที่ไต้หวัน 640 MW

 

โรงไฟฟ้าพลังงานลม "หยุนหลิน" ที่ไต้หวัน ขนาดกำลังการผลิต 640 MW จะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในไตรมาส3/64 โดยบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด ประเมินว่าแม้ในปี 64 ทาง EGCO จะรายงานกำไรเติบโตดีแบบตัวเลข 2 หลัก แต่ด้วยสภาวะตลาดปัจจุบันที่การลงทุนในหุ้นที่ความเสี่ยงสูงกว่าหุ้นโรงไฟฟ้า ดูจะเป็นสิ่งที่ตลาดมองหามากกว่า

 

ดังนั้นเรามองว่าหุ้นโรงไฟฟ้า จะได้รับความสนใจต่อเมื่อมีการลงทุนในโครงการใหม่เท่านั้น ซึ่งเราแทบจะมองไม่เห็นโครงการ IPP ที่จะเข้ามาในช่วง 10 ปีข้างหน้า (ตามแผน PDP ใหม่) ซึ่งเราได้ทำการศึกษาพฤติกรรมหุ้นโรงไฟฟ้า พบว่าราคาหุ้นจะเทรด discount จาก DCF value ราว 20% ในช่วงที่โอกาสในการลงทุนโครงการใหม่จำกัด ดังนั้นเราใส่ discount 20% เข้าใน DCF value ของเรา ส่งผลให้ราคาเป้าหมายปรับลงจาก 311 เป็น 249 บาท โดยพื้นฐานแล้วคงคำแนะนำ ซื้อ เพราะราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาได้สะท้อนประเด็นลบต่างไปมากแล้ว ปัจจุบัน PE ของ EGCO ถูกที่สุดในกลุ่มโรงไฟฟ้า เพียง 8.7 เท่า เท่านั้น ซึ่ง downside ของราคาหุ้นต่อจากนี้คาดจะจำกัด

 


บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) มีมุมมองกำไรปกติ ไตรมาส 4 ราว 2,267 ล้านบาท (+12% y-y, -21% q-q) โต y-y จากส่วนแบ่งกำไรฯ ที่เติบโต +27% y-y จากแรงส่งของโรง Paju ที่ขายไฟได้มากขึ้น ประกอบกับโรง XPCL ที่พลิกมีกำไรจาก COD เต็มไตรมาส และปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น คงคำแนะนำ ซื้อ ที่  277 บาท/หุ้น มองบริษัทมีความน่าสนใจจากการเติบโตของกำไรปกติเฉลี่ย +6% CAGR ในช่วง 63-64 จากการ COD โรงไฟฟ้าใหม่ต่อเนื่อง

BPP โรงไฟฟ้าจ่ายไฟเข้าระบบอีก 5 แห่ง

             

บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 64 จะมีโครงการโรงไฟฟ้าที่เตรียมทยอยจ่ายไฟเข้าระบบ (COD) เพิ่มอีกจำนวน 5 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าถ่านหินซานซีลู่กวง (SLG) ที่ประเทศจีน ขนาดกำลังการผลิตรวม 1,300 MW ซึ่งคิดเป็นกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นราว 396 MW, โรงไฟฟ้าพลังงานลมที่เวียดนามจำนวน 2 โครงการ กำลังการผลิตรวม 68 MW และโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มที่ประเทศญี่ปุ่นอีกจำนวน 2 โครงการ กำลังการผลิตรวม 27  MW นอกจากนี้ยังมีลุ้นการเข้าลงทุนโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในประเทศ โดยมีขนาดกำลังการผลิต 600-900 MW

             

โดยบทวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุว่า นักลงทุนมีมุมมองเชิงบวกต่อภาพธุรกิจของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเริ่มธุรกิจของโรงไฟฟ้า IPP Shanxi Luguang (SLG) ในจีน ซึ่งน่าจะเริ่ม COD ได้ภายในปลายปีนี้ จำนวน1,320 MW โอกาสในการลงทุนใหม่ทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนและโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในสหรัฐและเวียดนาม

 

รวมถึงการเติบโตในอนาคตจากจากธุรกิจนวัตกรรมพลังงาน เช่น โซล่าร์รูฟท็อป ระบบกักเก็บพลังงาน รถยนต์ EV และเมืองอัจฉริยะผ่าน Banpu NEXT (ถือหุ้นร่วมกับ BANPU) อีกทั้งยังเป็นบริษัทที่ให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ค่อนข้างสูง ราว5% ยังคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 22 บาท

GPSC โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิง RDF เดินเครื่อง

             

โครงการโรงฟ้าเชื้อเพลิง RDF กำลังผลิต 10 MW จะจ่ายไฟเข้าระบบในไตรมาส 2/64 และโครงการโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในไต้หวัน 55.8 MW ที่ประกาศการเข้าซื้อซึ่งจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี 64 ทั้งนี้บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า ระบุว่า ยังชอบการเติบโตระยะยาวของ GPSC จากการเป็น Flagship ของเครือ PTT รวมทั้งมีการลงทุนพลังงานหมุนเวียน – แบตเตอรี่ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการพลังงานของโลก คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 73 บาท

             

ขณะที่บล.บัวหลวง จำกัด ระบุว่าในระยะสั้นโรงไฟฟ้า SPP ของ GPSC คาดได้รับประโยชน์จากราคาก๊าซที่มีทิศทางปรับตัวลง เนื่องจากค่า Ft มีแนวโน้มการปรับตัวลงช้ากว่าราคาก๊าซ โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ (HHPC และ XPCL) มีแนวโน้มที่จะผลิตไฟฟ้าได้น้อยลง QoQ ตามฤดูกาลใน 4Q20 นอกจากนี้ GPSC ยังคงศึกษาเพื่อขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งในต่างประเทศ และในประเทศไทยการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในไต้หวันถือเป็นก้าวที่สำคัญมาก และคาดศึกษาโครงการอื่นๆ เพิ่มเติมในอนาคต ให้ราคาเป้าหมาย 80 บาท

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


หญิงแม้น