กนง.ห่วงสินเชื่อเอสเอ็มอีหนี้พุ่ง ดอกเบี้ยสูงกว่ารายใหญ่ แบงก์เข้มปล่อยกู้ ซ้ำเติมปัญหาสภาพคล่อง
เปิดรายงานกนง.ห่วงคุณภาพสินเชื่อ SMEs ด้อยลง กระทบโอกาสเข้าถึงเงินทุน สถาบันการเงินเข้มปล่อยกู้ธุรกิจเล็ก เสี่ยงซ้ำเติมปัญหาสภาพคล่อง ซ้ำดอกเบี้ย SMEs สูงกว่าธุรกิจใหญ่
ล่าสุด คณะกรรมการนโยบายการเงิน เปิดรายงานการประชุม กนง. ครั้งที่ 4/2568 โดยห่วง SMEs ที่กำลังเผชิญความท้าทายหลายด้าน
โดยเฉพาะ จากการทะลักของสินค้านำเข้า SMEs ยังเผชิญต้นทุนการกู้ยืมที่สูงกว่าบริษัทใหญ่และมีปัญหาในการเข้าถึงสินเชื่อ ข้อมูลจากผู้ประกอบการพบว่า SMEs ส่วนใหญ่ปรับตัวในเชิงประคับประคองกิจการ เช่น การลดต้นทุน หรือลดขนาดกิจการ ขณะที่การปรับตัวเชิงรุก เช่น การเปลี่ยนโมเดลธุรกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพยังมีข้อจำกัด
คณะกรรมการฯ เห็นว่า SMEs เปราะบางมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังการจ้างงานและรายได้ครัวเรือน รวมถึงความสามารถในการชำระหนี้
ทั้งนี้ สินเชื่อโดยรวมหดตัวต่อเนื่องจากความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ที่ปรับลดลงตามความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและความเสี่ยงด้านเครดิดของลูกหนี้ที่สูงขึ้น โดยคุณภาพสินเชื่อ SMEs และสินเชื่อที่อยู่อาศัยยังปรับต้อยลง ทั้งนี้ SMMEs ยังมีความเปราะบางจากสภาพคล่องที่ลดลงและภาระหนี้สูง
อีกทั้งยังเผชิญตันทุนทางการเงินที่สูงกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ โดยข้อมูลจากสถาบันการเงินสะท้อนว่าอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อปล่อยใหม่ของลูกหนี SMEs อยู่ในระดับสูงและปรับลดลงน้อยกว่ากลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ส่วนหนึ่งจากความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงกว่าโดยเปรียบเทียบ
คณะกรรมการฯ แสดงความกังวลเกี่ยวกับความเปราะบางของธุรกิจ SMEs ทั้งจากสภาพคล่อง
ที่ดึงตัวและแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น และสอบถามเกี่ยวกับมาตรฐานการให้สินเชื่อของสถาบัน
การเงินว่าเข้มงวดขึ้นหรือไม่ โดยมีความกังวลว่าคุณภาพสินเชื่อที่ปรับด้อยลงอาจส่งผลต่อการพิจารณาให้สินเชื่อของสถาบันการเงิน ซึ่งจะจำกัดโอกาสของ SMEs ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อการปรับตัวและทำให้ธุรกิจไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ แม้แบงก์ไม่ได้ปรับเกณฑ์ล่อยกู้เข้มขึ้น
แต่เพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่มีหลักประกันหรือมีหลักประกันไม่เต็มจำนวน คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามการขยายตัวของสินเชื่อรวมถึงการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่อาจซ้ำเติมภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMES
นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ เห็นว่าผลกระทบของนโยบายการค้ายังประเมินได้ยาก แม้ไทยได้รับอัตราภาษี reciprocal ที่ไม่ได้เสียเปรียบเทียบคู่แข่ง แต่อัตราภาษีใหม่ที่สูงกว่าในอดีตอาจส่งผลต่อภาคการส่งออกสินค้า การย้ายฐานการผลิต และการลงทุนใหม่ในระยะข้างหน้า
โดยผู้ประกอบการในหลายอุตสาหกรรมให้ข้อมูลว่าคำสั่งชื่อล่วงหน้าชะลอลงบ้าง แต่ยังเป็นไปตามที่ผู้ประกอบการคาดไว้และสอดคล้องกับการเร่งส่งออกไปในช่วงก่อนหน้า กรรมการบางท่านประเมินว่าแนวโน้มการส่งออก จะเป็นลักษณะค่อย ๆ ชะลอตัวมากกว่าที่จะชะลอตัวลงรุนแรงในไตรมาสที่ 3
คณะกรรมการฯ แสดงความกังวลต่อแนวโน้มการชะลอตัวของเครื่องยนต์เศรษฐกิจที่เป็นแรงขับขับเคลื่อนสำคัญ ซึ่งอาจส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าต่ำกว่าศักยภาพ โดย
(1) ภาคการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากการทะลักของสินค้านำเข้า(import floodine)
(2) ภาคการท่องเที่ยวที่มีจำนวนและโครงสร้างนักท่องเที่ยวเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะการลดลงของนักท่องเที่ยวระยะใกล้ซึ่งส่งผลให้รายได้ไม่กระจายไปยังผู้ประกอบการรายย่อย และ
(3) การบริโภคภาคเอกชนที่ชะลอตามแนวโน้มรายได้แรงงานที่ลดลง ปัจจัยเหล่านี้จะซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีอยู่เดิม ขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจยังคงมาจากภาคธุรกิจเพียงบางกลุ่ม และกระจุกตัวอยู่ในผู้ประกอบการรายใหญ่
ที่มา. https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1196039