ผลกระทบต่อตลาดหุ้น จากการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ FED
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ตลาดดาวโจนส์ปิดร่วงอย่างหนักหลังถูกเทขาย โดยวันพุธที่ 10 ดัชนีปิดที่ 25,598.74 จุด จากวันก่อน 26,430.57 จุด หรือร่วงมากกว่า 800 จุด ภายในวันเดียว แล้วยังถูกซ้ำอีกหนึ่งวัน (วันพฤหัสที่ 11) ปิดที่ 25,052.83 จุด หรือร่วงอีก 500 จุด ก่อนที่จะ Rebound ได้เล็กน้อย กลับมาได้ 25,340 จุด ในวันถัดไป อย่างไรก็ตาม ในอาทิตย์นี้ตลาดดาวโจนส์ สามารถกลับมาบวกเกือบ 500 จุดได้ โดยปิดที่ 25,798.42 จุด ในวันอังคารที่ผ่านมา แต่อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของโลกถูกเทขายเกือบ 1,300 จุด ภายในเวลาไม่กี่วัน!!!
นักวิเคราะห์หลายแห่งเห็นตรงกันว่า สาเหตุหลักเกิดจากการที่นักลงทุนยังคงไม่มั่นใจในตลาดหลังจากที่ FED หรือธนาคารกลางของสหรัฐ ได้ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม และยังมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นอีกในเร็วๆ นี้ อันเนื่องมาจากการเติบโตของเศรษฐกิจของสหรัฐอย่างร้อนแรง โดย GDP ของสหรัฐขยายตัวมากถึง 4.1% ใน 2Q2018 ซึ่งมีโอกาสทำให้สหรัฐอาจจะมี GDP ขยายตัวเฉลี่ยได้ถึง 3% ในปีนี้ โดยเป็นเป้าหมายที่ ปธน.ทรัมป์ ได้ตั้งหมายไว้ อย่างไรก็ตาม การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐของ FED ดังกล่าว ได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อย โดยเฉพาะ ปธน.ทรัมป์ โดยได้กล่าวแสดงความเห็นในเรื่องนี้หลายครั้งว่า การที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างนี้ จะทำให้สหรัฐสูญเสียโอกาสในการแข่งขันการค้ากับประเทศอื่นๆ
การขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐส่งผลอย่างไร
อัตราดอกเบี้ยถูกเป็นเครื่องมือหลักของธนาคารกลางทั่วโลก โดยใช้เป็นการควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในเกณฑ์จำกัด โดยสังเกตได้ว่าหากเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยจะถูกปรับสูงขึ้นตามเพื่อควบคุมไม่ให้อัตราเงินเฟ้อสูงมากเกินไป จนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม นอกจากนั้น ยังมีเป้าหมายเพื่อลดการขยายตัวของเศรษฐกิจไม่ให้ขยายตัวมากจนเกินไป ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดฟองสบู่ในอนาคตได้ อย่างไรก็ตาม การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะส่งผลต่อต้นทุนทางการเงินของบริษัทที่มีภาระกู้ยืมจากธนาคาร โดยเฉพาะบริษัทที่มีการกู้ยืมเป็นจำนวนมาก จะส่งผลให้กำไรลดลงหรืออาจขาดทุนได้ สุดท้ายจะส่งผลมายังราคาหุ้นเพื่อสะท้อนผลประกอบการของบริษัทต่อไป ในทางตรงกันข้าม นโยบายการขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าว จะสวนทางกับนโยบายการลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีขยายตัวมากขึ้น สนับสนุนให้ทั้งภาครัฐและเอกชนลงทุน ทำให้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ให้กับภาคประชาชนให้มีการใช้สอยอุปโภค บริโภค เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยในบางครั้งหากอัตรานโยบายดอกเบี้ย ยังไม่สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างเพียงพอ รัฐจะใช้วิธีเงินอัดฉีดเข้ามาในระบบ เพื่อให้เกิดการแพร่สะพัดของการลงทุนมากยิ่งขึ้น ดังจะได้เห็นมาแล้วจากการอัดฉีดเงิน QE (Quantitative Easing) ของรัฐบาลสหรัฐ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตทางการเงินเมื่อปี 2008 และส่งผลให้ตลาดหุ้นในช่วงระยะเวลาที่ผ่านเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บริษัทจดทะเบียนจะรับมืออย่างไรเมื่อดอกเบี้ยขึ้น
หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มสูงขึ้น บริษัทที่เพิ่งพาเงินกู้จากสถาบันการเงินจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องรับภาระต้นทุนทางการเงินสูงขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม บริษัทเหล่านี้ยังสามาถหาแหล่งเงินทุนจากช่องทางใหม่ เช่น การออกหุ้นกู้ ซึ่งเป็นการระดมทุนจากนักลงทุนทั่วไป (แทนที่การกู้เงินจากสถาบันการเงิน) โดยให้ผลตอบแทนแก่ผู้ลงทุนตามอัตราที่ตกลงกันไว้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ หากบริษัทได้รับการจัดอันดับเครดิตจากสถาบันการจัดอันดับเครดิตในระดับที่ดี (ซึ่งหมายความว่ามีความเสี่ยงต่ำ) บริษัทเหล่านี้ก็สามารถออกหุ้นกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำได้ ในทางตรงกันข้าม หากบริษัทได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับที่ไม่สูงมาก (ซึ่งหมายความว่ามีความเสี่ยงสูงกว่า) ก็ต้องออกหุ้นกู้โดยยอมจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าเพื่อชดเชยความเสี่ยงให้กับนักลงทุน ในตลาดไทยเอง ก็จะเห็นได้ว่ามีบริษัทที่ออกหุ้นกู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดภาระทางการเงินจากการกู้สถาบันทางการเงินต่างๆ โดยสังเกตได้จากตลาดตราสารหนี้ที่มีการโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
แล้วส่งผลอย่างไรกับตลาดหุ้น Emerging Market
การขึ้นอัตรานโยบายของสหรัฐ จะเป็นการแตะเบรกความร้อนแรงของราคาหุ้นในตลาดได้ โดยเฉพาะในEmerging Market (ตลาด EM) เอง ซึ่งได้รับผลกระทบไม่น้อย เนื่องจากการดึงเงินกลับประเทศของนักลงทุนต่างชาติ เพื่อลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้น อีกทั้ง การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะส่งผลให้ Spread (ผลต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างตราสารทุนและตราสารหนี้) ลดลง ทำให้นักลงทุนต่างประเทศดึงเงินกลับเพื่อไปลงทุนในตลาดตราสารหนี้เช่น พันธบัตรรัฐบาลต่างๆ มากยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถสังเกตได้จากการลงทุนในตลาดพันธบัตรในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาที่มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสวนทางกับตลาดทุนของ EM ที่นักลงทุนต่างชาติทะยอยขายหุ้นออกมา จนแตะ 2 แสนล้านบาท
นักลงทุนควรรับมืออย่างไร
นักลงทุนควรทำความเข้าใจสภาวะวัฏจักรทางเศรษฐกิจ (Economic Cycle) ที่มีการเติบโตและหดตัวสลับกันไป ถึงแม้การเข้าใจตัวเลขเศรษฐกิจจะเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยาก แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์หรือนักการเงินยังมีความเห็นในการแนวทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน ดังนั้น ในฐานะนักลงทุนได้เพียงแต่ติดตามข่าวสารเพื่อให้เห็นภาพรวมของเศรษฐกิจ แต่ยังเน้นการวิเคราะห์หุ้นรายตัวที่ยังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง เพื่อเตรียมพร้อมเก็บเกี่ยวหุ้นเพิ่มเติมในยามที่ตลาดหมีเข้ามา...