ห้องเม่าปีกเหล็ก

Inverted Yield Curve คืออะไร ทำไมถึงเป็นสัญญาณเตือนเศรษฐกิจถดถอย

โดย Story
เผยแพร่ :
58 views

Inverted Yield Curve คืออะไร ทำไมถึงเป็นสัญญาณเตือนเศรษฐกิจถดถอย

ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่นักลงทุนจับตาประเด็นความตึงเครียดรัสเซีย-ยูเครน แต่นอกเหนือจากนั้นยัง มีอีกประเด็นที่นักลงทุนกังวลกันมาสักระยะหนึ่งนั่นคือ “Inverted Yield Curve” หรืออัตราผลตอบแทน พันธบัตรอายุ 2 ปีให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีหรือ 2-10 spread มีค่าติด ลบ) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่ใช้เตือนว่าเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่สภาวะถดถอย

 

บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส ระบุว่าในภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตปกติ ผลตอบแทนในพันธบัตรระยะยาวจะสูงกว่าผลตอบแทนในพันธบัตรระยะสั้นเสมอ (Upward Slope) ซึ่งเป็นไปตามกลไกตลาดที่ถูกกำหนดด้วยความเสี่ยงและผลตอบแทน

 

แต่ในระหว่างชั่วโมงการซื้อขายเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2565 เป็นวันแรกที่ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนในพันธบัตรระยะยาว 10 ปี ของสหรัฐ พลิกกลับมาลงมาต่ำกว่าผลตอบแทนในพันธบัตรระยะสั้น 2 ปี ถือว่าเป็นภาวะที่ไม่ปกติ หรือเรียกว่า Inverted Yield Curve แปลว่า ปัจจุบันนักลงทุนมีความกังวลว่าภาวะเศรษฐกิจในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า มีโอกาสเข้าสู่ภาวะถดถอย

 

การเกิด Inverted Yield Curve ในช่วงเวลาซื้อขายเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2565 แต่สิ้นวันบวกเล็กน้อยที่ 0.007% เป็นสิ่งหนึ่งที่กดดันให้สินทรัพย์เสี่ยงรวมถึงตลาดหุ้นปรับฐานแรง

 

บล.เอเซีย พลัส ได้ย้อนรอยหาความสัมพันธ์ระหว่าง Inverted Yield Curve กับตลาดหุ้นโลกและไทย ในช่วง 16 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งสหรัฐเคยเกิด Inverted Yield Curve จำนวน 3 ครั้ง ในระยะยาว 9-14 เดือนข้างหน้า ก็เกิดวิกฤตต่างๆตามมา มีรายละเอียดดังนี้

 

        ครั้งแรก เกิด Inverted Yield Curve ต้นปี 2006 เป็นระยะเวลา 71 วัน (ก่อนวิกฤตซับไพรม์ )

 

        ครั้งที่ 2 ช่วงกลางปี 2006 ถึง กลางปี 2007 เกิด Inverted Yield Curve ระยะเวลา 363 วัน (ก่อนวิกฤตซับไพรม์)

 

        ครั้งที่ 3 เกิด Inverted Yield Curve ช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2019 เป็นช่วงเกิดสงครามการค้าจีนสหรัฐ (ก่อนวิกฤตโควิด)

 

ส่วนในระยะสั้น ฝ่ายวิจัยฯบล.เอเซีย พลัส ทำการประเมินผลตอบแทนเฉลี่ยตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นโลก ทั้งช่วงเกิด Inverted Yield Curve ก่อนเกิด 30 วัน และหลังเกิด 30 วัน ได้ผลลัพธ์ดังนี้

 

ก่อนเกิด 30 วัน Inverted Yield Curve ตลาดหุ้นมักจะปรับฐานแรงเสมอ ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย -4.7% Nasdaq -5.2%

 

ช่วงเกิด Inverted Yield Curve ช่วงแรกๆที่เกิด Inverted Yield Curve ตลาดยังผันผวนและย่อต่ำลงไปอีก แต่หลังจากนั้นจะค่อยๆฟื้นขึ้นจน SET ให้ ผลตอบแทนเฉลี่ย +5.1% Nasdaq +7.9% หลังเกิด 30 วัน ตลาดหุ้นยังฟื้นตัวต่อเนื่อง SET ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.1% ส่วน Nasdaq 2.9%

         

บล.เอเซีย พลัส สรุปว่าตลาดหุ้นโลกยังอยู่ในภาวะผันผวน ต้องติดตาม Spread Bond Yield อายุ 10 ปี กับ 2 ปี ของสหรัฐต่อเนื่อง หากขยับลงมาเรื่อยๆ และถ้าลงลึกตลาดอาจผันผวนมาก แต่ถ้าลงน้อยก็น่าจะผันผวนน้อย

        

“อย่างไรก็ตามเชื่อว่าปัจจุบันตลาดหุ้นไทยอาจจะมีความผันผวนน้อยกว่าในอดีต เนื่องจากตลาดการเงินของไทยยังอยู่ในภาวะที่ห่างไกลจาก Inverted Yield Curve อีกทั้งคณะกรรมการนโยบายการเงิน( กนง.) ก็ส่งสัญญาณคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำต่อไป ทำให้ไม่มีแรงกระตุ้นให้เกิดภาวะดังกล่าว แต่หากมองในมุมกลับด้วยภาพความแตกต่างของ Yield Curve ไทย-สหรัฐฯ อาจเป็นแรงผลักให้กระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (ฟันด์โฟลว์) ยังไหลเข้าตลาดหุ้นไทยได้ต่อ”บทวิเคราะห์บล.เอเซีย พลัส ระบุ

 

ข้อมูลจากบล.เอเซีย พลัส ระบุว่าในอดีตปี 2019 เคยเกิด Inverted Yield Curve ราว 1 สัปดาห์ ที่จุดต่ำสุดที่ระดับ -0.05% และก่อนเกิดจุดต่ำสุด Inverted Yield Curve ราว 1 เดือน ดัชนีหุ้นไทยปรับฐาน -6.7% และ กระแสเงินทุนต่างชาติไหลออก 5.4 หมื่นล้านบาท แต่พอ Inverted Yield Curve ฟื้น ดัชนีหุ้นไทยก็ฟื้น ตามมาในเวลาต่อมา

 

สอดคล้องกับบล.กสิกรไทย ที่ประเมินว่าการเกิด Inverted Yield Curve ของพันธบัตรสหรัฐรอบนี้ในระยะสั้นยังไม่น่ากังวล แต่ยังเป็นประเด็นทำให้ตลาดหุ้นยังผันผวน

 

 

ทำความรู้จักอัตราผลตอบแทน (Yield Curve)

 

สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) ระบุว่าการวิเคราะห์อัตราผลตอบแทนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการลงทุนในตราสารหนี้ เนื่องจากอัตราผลตอบแทนและราคาของตราสารหนี้นั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบ เมื่ออัตราผลตอบแทน (Yield) ในตลาดมีการเปลี่ยนแปลงก็จะส่งผลให้เกิดความผันผวนของราคา ซึ่งจะส่งผลต่อการตัดสินใจและการวางกลยุทธ์ในการลงทุน ในขณะที่ผู้ออกตราสารหนี้ก็สามารถใช้ประโยชน์จากเส้นอัตราผลตอบแทน ในการพิจารณาต้นทุนการออกตราสารหนี้ของตนเปรียบเทียบกับเส้นอัตราผลตอบแทน

 

 

เส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve) คืออะไร

 

เส้นอัตราผลตอบแทน คือ เส้นที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทนกับอายุคงเหลือ (Time to maturity) ของตราสารหนี้ แต่ละจุดบน Yield curve จะบอกให้เราทราบว่า อัตราผลตอบแทนที่ตลาดต้องการสำหรับตราสารหนี้แต่ละช่วงอายุเป็นเท่าไร โดยปกติเราจะใช้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล ณ ช่วงอายุต่างๆ มาสร้าง เส้นอัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยงของการผิดนัดชำระหนี้ (Risk-free yield curve) ซึ่งเป็นอัตราผลตอบแทนพื้นฐานที่สามารถนำไปใช้คำนวณอัตราผลตอบแทนสำหรับตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่างๆได้

 

เส้นอัตราผลตอบแทนที่สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) จัดทำและเผยแพร่ คือ ThaiBMA Government bond yield curve โดยเผยแพร่ในเวลาประมาณ 16.00 น. ของทุกวันทำการ และถือเป็นข้อมูลพื้นฐานที่ตลาดตราสารหนี้นำไปใช้อ้างอิงและใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในงานต่างๆ เช่น การกำหนดอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรและหุ้นกู้เพื่อจำหน่ายในตลาดแรก การใช้เป็นเครื่องมือการคำนวณเพื่อหามูลค่ายุติธรรมในการบันทึกบัญชี รวมทั้งเพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจดำเนินนโยบายและกลยุทธ์การลงทุน

 

 

รูปร่างของเส้นอัตราผลตอบแทน

 

ปัจจัยทางเศรษฐกิจต่างๆ เช่น ภาวะเงินเฟ้อ นโยบายทางการเงินของรัฐบาล สภาพคล่องในระบบการเงิน มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของเส้น Yield curve และจะทำให้ Yield curve มีรูปร่างที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา โดยรูปร่างของ Yield curve สามารถแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบดังนี้

 

  1.       แบบปกติ (Normal yield curve or Upward sloping yield curve) มีลักษณะเป็นเส้นลาดชันขึ้นจากซ้ายไปขวา คือ Yield ของพันธบัตรที่มีอายุคงเหลือสั้นจะต่ำกว่า Yield ของพันธบัตรที่มีอายุคงเหลือยาว แสดงให้เห็นว่า ผู้ลงทุนต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นเมื่อลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุยาวขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เราจึงเรียกว่าเส้นอัตราผลตอบแทนแบบนี้ว่า แบบปกติ

 2. แบบลาดลง (Inverted yield curve or Downward sloping yield curve) มีลักษณะตรงข้ามกับแบบปกติ คือ เป็นเส้นกราฟลาดลงจากซ้ายไปขวา พันธบัตรที่มีอายุคงเหลือยาวจะมีอัตราผลตอบแทนต่ำกว่าพันธบัตรที่มีอายุสั้น ซึ่ง Yield curve ลักษณะนี้จะพบเมื่อตลาดคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาดมีแนวโน้มลดลง

 3. แบบหลังเขา (Humped yield curve) เส้นจะลาดชันขึ้นจากซ้ายไปขวาและวกต่ำลงเมื่ออายุคงเหลือของตราสารหนี้เพิ่มขึ้น

  4. แบบแบนราบ (Flatted yield curve) เป็นลักษณะของอัตราผลตอบแทนที่เท่ากันทุกช่วงอายุของตราสารหนี้

 

แหล่งข้อมูล สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA)

 


Story