ห้องเม่าปีกเหล็ก

คุยกับ Peter Lynch ทำอย่างไรให้เหนือกว่าวอลสตรีท (ตอนที่2)

โดย SiTh LoRd PaCk
เผยแพร่ :
85 views

อ่านตอนแรกได้ที่นี้ครับ ... http://goo.gl/qAP72a

-------------------------------------


ทีมงาน : การเติบโตของกองทุนแมกเจลแลนในปี 80 เหมือนเป็นลำดับเหตุการณ์อะไรบางอย่างนะครับ ?
ปีเตอร์ ลินซ์ : ใช่ครับ ในปี 1982 มันยังเป็นกองทุนที่ไม่ใหญ่มากนะ แต่ช่วงปี 1980-1980 ตลาดหุ้นมันก็เริ่มฟอร์มตัวเป็นกระทิง น่าเสียดายตรงที่ว่ายังไม่มีใครรู้ หุ้นมันก็เริ่มวิ่งขึ้นไป นักลงทุนส่วนใหญ่ก็ได้แต่มองดูแล้วก็คิดว่ามันน่าจะลงในอีกไม่ช้า มันก็วิ่งขึ้นเรื่อยๆครับ ผมจำได้ว่าช่วงเดือนเมษายน ปี 1983 ขนาดของกองทุนใหญ่ขึ้นแตะระดับพันล้าน ผมจำได้ครับเพราะผมรู้สึกว่าเลขศูนย์ต่อท้ายนี้มันมีเยอะมากเหมือนเป็นรหัสลับเวทมนต์อะไรซักอย่าง .. นักลงทุนรายย่อยเริ่มเข้ามาตลาดหุ้นมากขึ้นเรื่อยๆ แต่รายย่อยเหล่านั้นเขาก็ใช้เงินน้อยๆนะ ไม่ได้เยอะระดับ 2-3 ล้านเหรียญ แต่เนื่องจากว่ามีคนเข้ามาเป็นหมื่น สองหมื่นคน เงินมันก็เลยดูใหญ่

ทีมงาน : คุณก็เลยกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงไปด้วยเลย
ปีเตอร์ ลินซ์ : ใช่ครับ ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยดูโทรทัศน์มากนัก แต่ภรรยาของผมเขาดูอยู่บ่อยครับ คนข้างบ้านเริ่มเข้ามาพูดคุยกับครอบครัวเรามากขึ้น ถามว่าสามีของคุณทำงานอยู่ในกองทุนแมกเจลแลนที่มีชื่อเสียง น่าจะแนะนำการลงทุนให้พวกเขาด้วย ในอดีต นิตยสารหรือว่ารายการโทรทัศน์ก็ไม่ค่อยพูดเกี่ยวกับเรื่องกองทุนมากนัก ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์วอลสตรีทเจอร์นัล บาร์รอน หรือแม้แต่นิวยอร์คทาร์มก็มักจะพูดถึงหุ้นอยู่บ่อยๆ แต่ไม่ได้พูดเกี่ยวกับกองทุนรวม ปัจจุบันนี้ในวอลสตรีทเจอร์นัลมีนักข่าวที่รายงานเรื่องอุตสาหกรรมกองทุนรวมแบบเกาะติดและเต็มเวลา ยุคสมัยมันต่างกันมากจริงๆ หรือแม้แต่ในนิตยสารฟอร์บหรือฟอร์จูน ก็มีคอลัมน์กองทุนรวมด้วยเช่นกัน

ทีมงาน : เพราะอะไรถึงเป็นแบบนั้นครับ
ปีเตอร์ ลินซ์ : ผมคิดว่าเมื่อก่อนคนฝากความหวังไว้กับพวกกองทุนบำนาญมากจนเกินไปครับ พวกเขาตั้งหน้าตั้งตาทำงานแล้วหักเงินส่วนหนึ่งเพื่อเข้ากองทุนบำนาญหวังเอาไว้ว่าตอนพวกเขาเกษียณ เงินเหล่านั้นจะกลับมาเลี้ยงพวกเขา อาจจะ 50% จากที่เขาเคยได้ แต่เดียวนี้ไม่ใช้แบบนั้น คนนิยมทำงานบริษัทเอกชนมากขึ้นซึ่งบริษัทเอกชนไม่มีการให้บำเหน็ดบำนาญกับพนักงาน ทำให้คนต้องมีการวางแผนการเงินมากขึ้น มีความ"ปลอดภัยทางการเงินมากขึ้น" แต่ใช่ว่าทุกคนจะมีความรู้ทางการลงทุน อุตสาหกรรมกองทุนรวมจึงตอบโจทย์

ทีมงาน : นั้นก็เป็นส่วนหนึ่งให้คุณประสบความสำเร็จใช่ไหมครับ คือ พวกสื่อ หนังสือพิมพ์เริ่มมีการเปรียบเทียบแต่ละกองทุนรวมอย่างระมัดระวัง
ปีเตอร์ ลินซ์ : ใช่ครับ การแข่งขันจะนำไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น ในการบริหารกองทุนรวม เมื่อตลาดหุ้นโดยรวมเป็นขาลง หุ้นทุกตัวก็ต้องลงตาม แต่ผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์จะมองหาว่า หุ้นตัวไหนเป็นหุ้นที่มีโอกาส ในขณะเดียวกันเมื่อตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น หุ้นที่คุณหามันจะวิ่งทำเงินให้กับผู้ถือหน่วยได้มากเท่าไร จุดตัดสิน คือ คุณทำเงินได้กี่เปอร์เซนต์จากตลาดหุ้นในแต่ละปี การกล่าวชมจากผู้ถือหน่วย หรือการพูดปากต่อปากในด้านดี ในมุมของผู้บริหารกองทุนถือว่าประสบความสำเร็จแล้วครับ

ทีมงาน : ถ้าผมใส่เงิน 1 พันเหรียญให้กับกองทุนแมกเจนแลยในวันที่คุณบริหาร สุดท้ายแล้วตอนที่คุณลาออก ผมจะมีเงินอยู่เท่าไรครับ
ปีเตอร์ ลินซ์ : สิ่งที่คุณพูด มันก็มีเหตุการณ์จริงเหมือนกันนะ .. ถ้าคุณใส่เงินมาหนึ่งพันดอล์ล่าร์ในวันที่ 31 พฤษภาคม 1977 เมื่อสิ้นปี 1990 คุณจะมีเงินประมาณ 28,000 เหรียญ ครับ ในระยะเวลา 13 ปี

 


ดัชนีดาวโจนส์ย้อนหลังตั้งแต่ปี 1900 -2010 ภาพระยะยาวเป็นขาขึ้นรอบใหญ่ แต่ระหว่างทางมีการปรับฐานบ้างซึ่งเป็น"ธรรมชาติ"ของตลาดหุ้น
ขอบคุณภาพจาก stocks-for-beginners.com


ทีมงาน : เรามาพูดถึงสิ่งที่เปลี่ยนแปลงในช่วงปี 1986 - 1987 กันบ้างครับ
ปีเตอร์ ลินซ์ : เท่าที่ผมจำได้ ตอนนั้นมันก็เป็นงานธรรมดาที่ไม่ได้มีหน้ามีตาในสังคมมากนักเท่ากับปัจจุบันนี้ครับ ถ้าผมบอกคุณว่า ผมทำงานในธุรกิจบริหารเงินลงทุน เขาก็จะตอบว่า "โอ้ว มันน่าสนใจมากนะ ... คุณคิดยังไงเกี่ยวกับทีมบาสเก็ตบอลเซลติก" ผมหมายถึง เขาจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเลย หรือไม่ก็จะบอกว่า "เยี่ยมยอดมาก ลูกของคุณไปโรงเรียนแล้วหรือยัง" อะไรประมาณนั้น แต่ถ้าผมบอกไปว่า ผมเป็นผู้คุมนักโทษในเรือนจำ พวกเขาก็จะบอกว่า "เป็นอาชีพที่น่าสนใจจริงๆ นักโทษแต่ละคนดุร้ายมากมาย พวกเขาทำอะไรผิด ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะทำอะไรระหว่างอยู่ในคุก" แล้วก็จะตามมาด้วยหัวข้อสนทนาเกี่ยวกับอาชีพนั้น แต่คงไม่ใช่กับอุตสาหกรรมกองทุนรวมบรรยากาศในยุค 60 - 70 จะเป็นแบบนั้น

ตอนตลาดหุ้นเริ่มกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง ถ้าผมบอกว่า "ผมเป็นผู้จัดการกองทุน" พวกเขาจะแสดงความตื่นเต้นแล้วบอกว่ามันน่าสนใจมาก มีหุ้นตัวไหนที่คุณซื้อแล้วบ้าง ผมจะได้ซื้อตาม แต่พอตลาดขึ้นไปทำจุดสูงสุดในช่วงปี 80 ผมไปที่งานปาร์ตี้อีกครั้ง ทุกคนต่างก็พูดคุยเกี่ยวกับหุ้น มีคนถามผมว่าผมทำอะไร ผมเป็นผู้จัดการกองทุนรวม พวกเขาก็จะบอกว่าหุ้นตัวไหนบ้างที่ผมควรซื้อ (หัวเราะ) มันเป็นประสบการณ์ที่แปลกประหลาดมาก ผมก็จำชื่อหุ้นเหล่านั้น พอสิ้นเดือนก็เปิดไปดูตารางสรุปราคาหุ้น ปรากฏว่าหุ้นเหล่านั้นมันก็วิ่งขึ้นมาจริงๆ จากประสบการณ์ของผม ตลาดหุ้นมันเป็นเรื่องของวัฐจักร

วอเร็น บัฟเฟตต์พูดเอาไว้ว่า "What the wise do in the beginning, fools do in the end.(คนฉลาดจะเป็นคนเริ่มต้น คนโง่จะเป็นคนจบมันในท้ายที่สุด)" ตลาดหุ้นจะเริ่มต้นจากความหดหู่ ไม่มีใครพูดถึงเรื่องหุ้น ทุกคนเกลียดมัน พอตลาดหุ้นเริ่มขึ้น ก็จะมีคนมาถามว่ามีหุ้นตัวไหนที่พวกเขาควรซื้อ แต่พอตลาดกำลังจะจบรอบ คนทุกคนก็มาแนะนำผมว่าหุ้นตัวไหนที่ผมควรซื้อ สุดท้ายมันก็จะจบลงตรงคำว่าตลาดถล่มลงมาอย่างหนักเหมือนในปี 1987

ทีมงาน : ปี 1987 คุณช่วยพูดเกี่ยวกับมันหน่อยได้ไหมครับ แล้วตอนนั้นคุณกำลังทำอะไรอยู่ครับ ?
ปีเตอร์ ลินซ์ : จริงๆ ตอนนั้นผมรอตลาดหุ้นตก ผมใช้เวลาพักร้อนกับภรรยาของผมที่แต่งงานกันครบรอบ 8 ปี ที่ประเทศไอซ์แลนด์ตอนนั้นน่าจะเป็นคืนวันศุกร์ผมโทรหาเพื่อนของผมที่ทำงานอยู่ในวอลสตรีท เขาบอกว่าตลาดหุ้นร่วงลงไป 115 จุด ผมบอกกับแคโรลีน(ภรรยา) ว่า ถ้าวันจันทร์หุ้นตกอีกวัน พวกเรากลับอเมริกากันเถอะ พอถึงวันจันทร์ ตลาดหุ้นก็ร่วงอีก 508 จุด ผมกลับบ้านแล้วก็เข้าออฟฟิศทันที ผมดูราคาหน่วยลงทุนที่ผมบริหารมันตกลงไป 30%  ผมคิดเลยว่าสัปดาห์นี้ตลาดหุ้นไม่ได้ง่ายแน่นอน มีโทรศัพท์จากผู้ถือหน่วยจำนวนมากโทรมาหาผมเพื่อถามว่ากองทุนผมเป็นยังไงบ้างและที่สำคัญคือ "คุณลินซ์ คุณกำลังอะไรอยู่" จริงๆผมอยากจะบอกว่า "โอ้ว ผมเพิ่งกลับมาจากไอซ์แลนด์ครับ ผมไปตีกอล์ฟมา อากาศดีมากๆบ คุณน่าจะหาเวลาสักอาทิตย์หรือสองอาทิตย์สำหรับการพักผ่อนที่ไอซ์แลนด์นะ" แต่ด้วยหน้าที่ผมก็แค่ได้แต่คิด ซึ่งผมก็บอกไปว่า "ผมกำลังหาโอกาสอยู่ครับ" เพื่อให้ผู้ถือหน่วยสบายใจ

จากประสบการณ์ครั้งนั้นผมก็เรียนรู้เลยว่า ต่อให้หุ้นที่คุณถืออยู่มันจะดีซักแค่ไหนก็ตามในทางพื้นฐาน ก็ไม่มีหุ้นประเภทที่ทนทานต่อการร่วงลงของตลาดหุ้นได้ สิ่งที่คุณทำได้ คือ กลับบ้านเพื่อทำการบ้านและมองหาโอกาสจากการตกครั้งนั้น

"ในชีวิตผมพลาดหุ้นสิบเด้งไปหลายต่อหลายครั้ง แต่สุดท้ายแล้วผมก็ยังเหนือกว่าวอลสตรีท" Peter Lynch



ทีมงาน : ทำไมในปี 1987 ตลาดหุ้นถึงร่วงได้เหรอครับ ?
ปีเตอร์ ลินซ์ : ผมว่าเกิดจากความคาดหวังมากกว่าครับ และนักลงทุนก็ไม่ได้วิเคราะห์อะไรเลยเกี่ยวกับตลาดหุ้นตอนนั้น ในมุมมองของผม ปี 1982 ตลาดหุ้นอยู่ที่ 777 จุด และในปี 1986 มันวิ่งขึ้นไป 1700 จุด มันใช้เวลาแค่ 4 ปีเองนะครับ ต่อมาในปี 1987 มันก็พุ่งขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ 2700 จุด  มันวิ่งเร็วและแรงมาก ตามมาด้วยการปรับฐานอย่างหนักราวๆพันจุด และ 500 จุดในวันสุดท้าย แต่ถ้าตลาดหุ้นมันอยู่ที่ 1700 จุด และแกร่งตัวออกข้างก็คงจะไม่มีใครกังวลกับมันมากนัก

การร่วงลงในปี 1987 เกือบทุกคนก็เจ็บปวดจากตลาดหุ้น ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "โลกเราจะถึงกาลอวสานแล้ว" ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้เราเพิ่งรู้สึกยินดีกับการทำจุดสูงสุดใหม่ของตลาดหุ้น บทวิเคราะห์ นักวิเคราะห์จำนวนมากหรือแม้แต่เจ้าหน้าที่องธนาคารต่างก็ออกมาประกาศว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาแข็งแกร่ง การเติบโตก้าวกระโดด PE ต่ำและปันผลสูง กฏแบบเดิมๆจะใช้ในการคำนวนไม่ได้อีกแล้วเพราะเรากำลังทำประวัติศาสตร์หน้าใหม่ แต่นักลงทุนลืมคิดถึงเรื่องพื้นฐานไป จากปี 1982 - 1987 บริษัทจดทะเบียนเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน ? แทบจะไม่เปลี่ยนเลย มีแต่ตลาดหุ้นและความคาดหวังของคนเท่านั้นที่เปลี่ยนไป พอเจอกับการปรับตัวลงของตลาดหุ้น แทนที่พวกเขาจะทำการบ้านและค้นหาหุ้น พวกเขากลับเยาะเย้ยโชคชะตา พระเจ้าเล่นตลกกับพวกเขา โลกจะแตกแล้ว ต่อจากนี้ไปพวกเขาคงจะต้องเข้าป่าและเก็บแอปเปิ๊ลมาขายตามท้องถนน แต่คุณรู้อะไรไหมว่านักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จจะยังคงมองหาโอกาสต่อไป ปรากฏการณ์แบบนี้ไม่ได้มีให้เห็นกันบ่อยๆ โอกาสอยู่ตรงไหน บริษัทแข็งแรงไหม งบดุลเป็นอย่างไร บริษัททำธุรกิจอะไร สุดท้ายพวกเขาก็เรียนรู้ว่าโลกไม่เคยแตก และพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องเข้าป่า ..

ทีมงาน : นั้นเป็นการร่วงอย่างหนักของตลาดหุ้นที่คุณรู้สึกกลัวมากที่สุดเลยใช่ไหมครับ
ปีเตอร์ ลินซ์ : ไม่นะครับ ผมไม่ได้กลัวเลย เพราะว่าผมยึดมั่นอยู่กับพื้นฐานของกิจการ ผมโทรหาบริษัทที่ผมลงทุนเกือบทุกบริษัทเพื่อสอบถามว่าบริษัทคุณเป็นยังไงบ้าง มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ไหม ผมเปิดดูงบดุลย้อนหลังดูก็ยังแข็งแรงเหมือนเดิม ผมมองไปทางหน้าต่าง พระอาทิตย์ก็ยังส่องแสงแดดตามปกติ มองไปตามท้องถนน คนก็ยังขับรถ เติมน้ำมัน ซื้อของเข้าบ้าน พาครอบครัวไปเดินห้างสรรพสินค้า และกินอาหารตามร้านอาหาร เมื่อพวกเขายังใช้ชีวิตตามปกติ แล้วทำไมเราต้องกังวลด้วยละ ..

ความจริง การร่วงของปี 1987 ไม่เหมือนกับปี 1990 นะครับ ผมรู้สึกกลัวกับปี 1990 มากกว่า อย่างไรก็ตามผมก็ยังระมัดระวังในการมองหุ้นมากกวาเดิม

ทีมงาน : ปี 1990 เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ ?
ปีเตอร์ ลินซ์ : ตอนนั้นตลาดหุ้นในปี 1990 น่าจะอยู่ราวๆ 3000 จุดเห็นจะได้ครับ มีเรื่องของสงครามเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คือ ซัดดัม ฮุสเซนมีการบุกคูเวต และประธานาธิบดีบุชก็ส่งทหารประมาณ 5 แสนนายเข้าไปยังซาอุดิอาระเบียเพื่อปกป้อง ตอนนั้นผมรู้สึกกังวลว่าเราจะเกิดสงครามเวียดนามขึ้นอีกแล้วเหรอ แล้วอย่างนี้เราก็ต้องปะทะกับทางอิรักผู้ที่มีกำลังทางการทหารใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก จะมีคนล้มตายกันกี่คน ต่อมามันก็มีข่าวเรื่องร้ายๆเกี่ยวกับเศรษฐกิจ วิกฤตของธนาคาร แบงค์หลายๆแห่งจะล้มละลาย ภาวะขาดสภาพคล่องของสถาบันการเงิน แบงค์จะระดมหุ้นกู้จำนวนมาก ในปี 1987 เราเรียกว่าภาวะถดถ่อย แต่ปี 1990 เราเรียกว่าภาวะถดถ่อยของสถาบันการเงิน ซึ่งความหมายดูแย่กว่ามาก

แต่สุดท้ายแล้ว สงครามก็ไม่ได้ยืดเยื้อ เราไม่ได้สาดอาวุธใส่กัน และธนาคารหลายๆแห่งก็ไม่ได้ล้มละลาย หุ้นก็มีการถีบตัวกันขึ้นมา

ทีมงาน : การทำงานด้านนี้ก็ดูกดดันเหมือนกันนะครับ เพราะคุณเองก็ถือเงินของลูกค้าเยอะมากเช่นกัน
ปีเตอร์ ลินซ์ : นั้นไม่ใช่แรงกดดันครับ ผมรักงานนี้มาก ผมมีสภาวะแวดล้อมที่ดี เพื่อนร่วมงานดี ทีมงานก็ดีมาก ผมอยากจะเข้าไปคุยกับบริษัทไหน บริษัทนั้นก็ต้อนรับด้วยชื่อเสียงของผม และขนาดของกองทุนที่ใหญ่มากแล้ว สิ่งที่ผมไม่ชอบ คือ เวลาในการทำงานของผมไม่เคยพอเลย ผมต้องทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ แต่ผมก็ยังคิดว่ามันไม่พออยู่ดี

 

ถุงน่อง L'Eggs มีสโลแกนว่า "ความสบายที่มอบให้คุณทั้งวัน"



ทีมงาน : มาพูดถึงภรรยาของคุณบ้าง ได้ยินมาว่า คุณได้หุ้นที่ทำเงินหลายตัวมาจากภรรยาของคุณ ?
ปีเตอร์ ลินซ์ : ใช่ครับ ผมเป็นคนที่ชอบสังเกตสิ่งรอบๆตัว ผมสังเกตเห็นภรรยาของผมชอบซื้อถุงน่องยี่ห้อ L'Eggs เธอมักจะซื้อมาเป็นประจำ เธอยังชมอยู่บ่อยๆว่าถุงน่องยี่ห้อนี้ใส่สบายจริงๆ ผมเก็บคำพูดของเธอมาคิดแล้วจำได้ว่าบริษัทที่ผลิตสินค้า L'Eggs มีการซื้อขายอยู่ในตลาดหุ้นด้วย ผมเลยไปที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตนั้นเพื่อดูสินค้าเกี่ยวกับถุงน่อง ผมสังเกตว่าทางด้านขวาของ L'Eggs มีอีกแบรนด์หนึ่งชื่อว่า No Nonsense ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท Kayser-Roth ผมเกรงว่าตัว L'Eggs จะมีคู่แข่ง ผมจึงซื้อถุงน่อง No Nonsense ประมาณ 48 คู่เพื่อแจกจ่ายให้กับพนักงานในบริษัทและภรรยาของผม และย้ำพวกเธอว่าอีก 2 อาทิตย์มาบอกผมด้วยว่าใช้สินค้า No Nonsense แล้วรู้สึกอย่างไร ผมว่านี้คือการสำรวจธุรกิจที่ดีมาก

ระหว่างนั้นผมก็ศึกษาเกี่ยวกับการช็อปปิ้งของผู้หญิง ผมพบว่าผู้หญิงจะเดินเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตอาทิตย์ละ 1 วัน และเดินห้างสรรพสินค้าประมาณ 1 ครั้ง ต่อ 6 สัปดาห์ ซึ่งการเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตนั้นดูได้เปรียบกว่าและสินค้า L'Eggs มีวางขายในซุปเปอร์มาร์เก็ตมากกว่าที่จะเปิดร้านในห้างสรรพสินค้า

พวกเธอกลับมาพร้อมกับบอกว่า No Nonsense เป็นสินค้าที่ใส่แล้วไม่สบายสักเท่าไร ผมจึงวางใจได้ว่า L'Eggs เป็นธุรกิจที่น่าสนใจ อยู่เหนือชั้นกว่าคู่แข่งและไม่แปลกใจว่าทำไมภรรยาผมชอบซื้อมัน ผมก็เลยซื้อหุ้นบางส่วน และก็ได้ผลตอบแทนที่ดี

การสำรวจ  L'Eggs ทำให้ผมได้พบกับ Sara Lee บริษัทผลิตอาหารจำพวกเบเกอร์รี่ กาแฟ อาหารแห้ง ซึ่งผมก็เฝ้ามองดูมันอยู่ก่อนที่มันจะขึ้นไป 30 เด้ง น่าเสียดายตรงที่ว่า ผมไม่ได้ซื้อมัน ..


-------------- จบตอน 2 --------------




SiTh LoRd PaCk