ห้องเม่าปีกเหล็ก

TOP ทุ่มงบ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

โดย ปะการัง
เผยแพร่ :
77 views

TOP ทุ่มงบ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

ปรับโฉมโครงสร้างกำไรครั้งใหญ่ปี 73

ดันสัดส่วนธุรกิจมาร์จิ้นสูง-ธุรกิจใหม่เป็น 10%

 

.

TOP เปิดตัว CEO ใหม่ จัดทัพโครงสร้างกำไรปี 73 พร้อมทุ่มงบลงทุน 3 ปี (2566-2568) กว่า 1 พันล้านเหรียญฯ ส่วนปีนี้คาดรายได้ที่ 4 แสนลบ. ลดลงจากปีก่อน หลังตลาดเข้าสู่ภาวะปกติ

นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า แผนธุรกิจในปี 2566 คาดการณ์รายได้รวมที่ 4 แสนล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ทำได้ 5.3 แสนล้านบาท เนื่องจากภาวะตลาดได้กลับเข้าสู่ปกติ และราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง

.

ขณะที่ค่าการกลั่นตลาด (Market GRM)ในปีนี้คาดการณ์ว่าจะเฉลี่ยอยู่ 7-8 เหรียญฯต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าปีก่อนที่เฉลี่ยอยู่ 10.3 เหรียญฯต่อบาร์เรล เนื่องจากสถานการณ์ในปี 65 เป็นภาวะตลาดที่ไม่ปกติจึงทำให้ค่าการกลั่นสูงขึ้นมากว่าปกติ แต่อย่างไรค่าการกลั่นที่ระดับ 7-8 เหรียญฯต่อบาร์เรล ยังเป็นระดับที่สูงกว่าก่อนเกิดสถานการณ์ COVID-19

.

ด้านภาพรวมความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จในปี 66 ประเมินว่าจะสามารถเติบโตได้ 4-5% แต่ผลิตภัณฑ์น้ำมันอากาศยานจะสามารถเติบโตได้โดดเด่นที่สุดหรือกว่า 50% เนื่องจากในปีนี้ผู้คนมีการเดินทางและสัญจรที่มากขึ้น ด้านภาคการท่องเที่ยวยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดประเทศของจีน

.

สำหรับงบลงทุนในปีนี้บริษัทวางไว้ราว 2 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างหรือโครงการพลังงานสะอาด(CFP) ที่มีความคืบหน้าไปแล้ว 90% ซึ่งบริษัทจะเร่งสร้างเพื่อเปิดโรงงานบางหน่วยก่อนในช่วงไตรมาส 1/67 และจะดำเนินงานเชิงพาณิชย์ได้ทั้งในปี 68 งบลงทุนที่เหลือจะใช้ลงทุนในโรงไฟฟ้า SPP

.

โดยเป้าหมายหลักในปีนี้ บริษัทจะเป็นการเร่งดำเนินโครงการสำคัญตามแผนกลยุทธ์ เช่น โครงการพลังงานสะอาด หรือ CFP ตลอดจนการเตรียมความพร้อมในการขยายตลาดไปต่างประเทศในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะประเทศเวียดนาม อินโดนีเซีย และอินเดีย

.

พร้อมทั้งเร่งศึกษาในการต่อยอดห่วงโซ่คุณค่าเพื่อเพิ่มจำนวน ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงและแสวงหาโอกาสเข้าสู่ธุรกิจที่มีมูลค่าสูง เช่น ธุรกิจสารเคมีที่ใช้เพื่อการยับยั้งและกำจัดเชื้อโรค รวมถึงสารลดแรงตึงผิวที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด (Disinfectants & Surfactants)

.

ทั้งนี้บริษัทได้วางยุทธศาสตร์ของธุรกิจในปี 2565-2568 โดยยึดหลัก 3V ประกอบไปด้วย Value Maximization ต่อยอดจากธุรกิจปิโตรเลียมไปสู่ธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง ,Value Enhancement เสริมความแข็งแกร่งในประเทศ ขยายตลาด และกระจายผลิตภัณฑ์ไปสู่ต่างประเทศในระดับภูมิภาค

.

สุดท้าย Value Diversification ลงทุนในธุรกิจใหม่ๆโดยเฉพาะธุรกิจที่มีมูลค่าสูงและ ธุรกิจ New S-Curve อื่นๆ ให้สอดคล้องต่อแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งบริษัทได้อยู่ระหว่างศึกษาการร่วมทุนกับพันธมิตรในธุรกิจที่มีการเติบโตสูงและมีมาร์จิ้นสูงหรืออยู่ที่ 12-18%

ทั้งนี้เเพื่อการรองรับในการขยายธุรกิจในช่วง 3 ปี(66-68) บริษัทได้วางงบลงทุนไว้ราว 1 พันล้านเหรียญฯ สำหรับการลงทุนธุรกิจพลังงานสะอาด อาทิ โรงไฟฟ้า ราว 500 ล้านเหรียญ ,ธุรกิจปิโตรเคมีราว 270 ล้านเหรียญฯ และส่วนที่เหลือจะใช้ในการปรับปรุงการผลิตของโรงงานเดิมพร้อมทั้งการลงทุนในสตาร์ทอัพ

.

สำหรับแหล่งเงินทุนจะมาจากการกู้ยืมจากธนาคารทั้งในสกุลเงินบาทและสกุลเงินดอลลาร์ ซึ่งบริษัทจะมีการล็อกต้นทุนดอกเบี้ยไว้ในสัดส่วน 80%และอีก 20% เป็นดอกเบี้ยลอยตัว ขณะเดียวกันบริษัทมีจะมีออกหุ้นเข้ามาเพิ่มเติม ซึ่งเตรียมจะขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นในการออกหุ้นกู้ราว 2 พันล้านเหรียญฯ เพื่อรองรับแผนการลงทุนและรีไฟแนนซ์หุ้นกู้ที่จะครบกำหนด

.

ทั้งนี้จากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลก ไม่ว่าจะเป็นแรงกดดันด้านสิ่งแวดล้อมที่ เป็นตัวเร่งให้เกิดการตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero การเปลี่ยนผ่านของ อุตสาหกรรมพลังงานไปสู่การใช้พลังงานสะอาด รวมถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคและการเข้าสู่สังคม ผู้สูงอายุ

.

พร้อมกับลดความผันผวนของการทำกำไร บริษัทจึงได้วางเป้าหมายปรับสัดส่วนกำไรของบริษัทในปี 2573 ให้เป็นจากธุรกิจปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงอยู่ที่ 40% ,ธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงที่ต่อยอดจากปิโตรเคมี 30% ,ธุรกิจที่มีมูลค่าสูงและธุรกิจใหม่ๆ 25% และธุรกิจไฟฟ้า 5%

.

จากเดิมบริษัทมีโครงสร้างกำไรมาจากธุรกิจปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงอยู่ที่ 40% ,ธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงที่ต่อยอดจากปิโตรเคมี 40% ,ธุรกิจที่มีมูลค่าสูงและธุรกิจใหม่ๆ 10% และธุรกิจไฟฟ้า 10%

 

 


ปะการัง