ห้องเม่าปีกเหล็ก

ชิงเค้กบริหารพอร์ตอภิมหาเศรษฐี ตระกูลดัง-ฝรั่ง 800 ราย/บลจ.จ่อคิวตั้งเฮดจ์ฟันด์

โดย knowledge_trader
เผยแพร่ :
65 views

 

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

กองทุนชิงเค้กบริหารเงิน "อภิมหาเศรษฐี" ชี้ตระกูลดัง-นักลงทุนกระเป๋าหนัก-ฝรั่งกว่า800 ราย เทเงินลงประเทศไทย "บลจ.บัวหลวง" เดินหน้าพัฒนาระบบบริหารความเสี่ยง เตรียมพร้อมรอ ก.ล.ต.ไฟเขียวตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ "บลจ.ไทยพาณิชย์" ชูความสามารถบริหารผลตอบแทนดี กินส่วนแบ่งตลาดกองทุนส่วนบุคคล 42%

นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง กล่าวว่า แม้ตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นมามากแล้ว แต่นักลงทุนรายใหญ่ที่มีเงินลงทุนสูงยังคงสนใจเข้ามาซื้อขายหุ้นด้วยการให้ บลจ.บริหารจัดการเงิน ซึ่งขณะนี้มีนักลงทุนรายใหญ่ทั้งในและต่างประเทศประมาณ 800 ราย ได้เข้ามาลงทุนในตลาดไทยแล้ว

"นักลงทุนจากต่างประเทศบางรายมีพอร์ตใหญ่ถึง 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ บางรายที่เคยเข้ามาแล้ว บริษัทก็ยังให้บริหารอยู่ ส่วนรายใหม่ก็มีเช่นกัน โดยความต้องการลงทุนก็จะหลากหลาย เพราะมีทั้งกลุ่มที่อยากให้เราบริหารในลักษณะกองทุนส่วนบุคคล โดยกำหนดผลตอบแทนที่ต้องการไว้แล้ว ซึ่งทางทีมงานผู้จัดการกองทุนก็จะประเมินความเป็นไปได้ของการสร้างผลตอบแทน รวมทั้งอาจมีบางส่วนที่อยากให้กระจายเงินเข้ามาในกองทุนรวมของเราที่มีประวัติสร้างผลตอบแทนที่ดีด้วย ก็จะคละกันไป" นายพีรพงศ์กล่าว

 

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

กองทุนชิงเค้กบริหารเงิน "อภิมหาเศรษฐี" ชี้ตระกูลดัง-นักลงทุนกระเป๋าหนัก-ฝรั่งกว่า800 ราย เทเงินลงประเทศไทย "บลจ.บัวหลวง" เดินหน้าพัฒนาระบบบริหารความเสี่ยง เตรียมพร้อมรอ ก.ล.ต.ไฟเขียวตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ "บลจ.ไทยพาณิชย์" ชูความสามารถบริหารผลตอบแทนดี กินส่วนแบ่งตลาดกองทุนส่วนบุคคล 42%

นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง กล่าวว่า แม้ตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นมามากแล้ว แต่นักลงทุนรายใหญ่ที่มีเงินลงทุนสูงยังคงสนใจเข้ามาซื้อขายหุ้นด้วยการให้ บลจ.บริหารจัดการเงิน ซึ่งขณะนี้มีนักลงทุนรายใหญ่ทั้งในและต่างประเทศประมาณ 800 ราย ได้เข้ามาลงทุนในตลาดไทยแล้ว

"นักลงทุนจากต่างประเทศบางรายมีพอร์ตใหญ่ถึง 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ บางรายที่เคยเข้ามาแล้ว บริษัทก็ยังให้บริหารอยู่ ส่วนรายใหม่ก็มีเช่นกัน โดยความต้องการลงทุนก็จะหลากหลาย เพราะมีทั้งกลุ่มที่อยากให้เราบริหารในลักษณะกองทุนส่วนบุคคล โดยกำหนดผลตอบแทนที่ต้องการไว้แล้ว ซึ่งทางทีมงานผู้จัดการกองทุนก็จะประเมินความเป็นไปได้ของการสร้างผลตอบแทน รวมทั้งอาจมีบางส่วนที่อยากให้กระจายเงินเข้ามาในกองทุนรวมของเราที่มีประวัติสร้างผลตอบแทนที่ดีด้วย ก็จะคละกันไป" นายพีรพงศ์กล่าว



อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าหากพิจารณาเฉพาะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยตอนนี้อาจจะไม่ดึงดูดใจมากนัก เมื่อเทียบกับการลงทุนในตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน เนื่องจากประเทศไทยยังมีแรงกดดันจากแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่าปีนี้จะเติบโตราว 3% ส่งผลให้บริษัทจดทะเบียน (บจ.) อาจเติบโตได้ไม่สูง เมื่อเทียบตลาดหุ้นเพื่อนบ้านในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ที่คาดว่าปีนี้เศรษฐกิจเติบโตเฉลี่ย 5-6%

ส่วนการเตรียมพร้อมสำหรับการบริหารเงินให้นักลงทุนรายใหญ่ที่ต้องการลงทุนในกองทุนบริหารความเสี่ยง(เฮดจ์ฟันด์)ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาหลักเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)นายพีรพงศ์กล่าวว่า บริษัทได้จัดเตรียมงบประมาณด้านการลงทุน สำหรับการควบคุมความเสี่ยงของใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (DW) รวมถึงการลงทุนในสินค้าของตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อให้เกิดความพร้อม หาก ก.ล.ต.เปิดให้ลงทุนได้เมื่อไหร่ ก็พร้อมที่จะออกกองทุนเฮดจ์ฟันด์ในทันที

นายสมิทธ์ พนมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการบลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ความต้องการลงทุนของนักลงทุนรายใหญ่ปีนี้น่าจะยังขยายตัวได้ดี เนื่องจาก บลจ.ยังมีช่องทางที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุนได้ ซึ่งมีทั้งตราสารหนี้ หุ้นต่างประเทศ และอื่น ๆ ดังนั้นหาก บลจ.สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับนักลงทุนบริหารเงินลงทุนเอง กองทุนส่วนบุคคลที่รวมนักลงทุนรายใหญ่ไว้ก็น่าจะขยายตัวได้ดี อีกทั้งยังคาดว่าปีนี้จะมีนักลงทุนรายใหญ่กลุ่มใหม่ เช่น กลุ่มลูกค้าเงินฝาก สนใจนำเงินมาให้บริหารเพิ่มด้วย

แหล่งข่าวจาก บลจ.รายหนึ่งกล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา ตระกูลดังในประเทศไทยหลายตระกูล เช่น ตระกูลเจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ตระกูลเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ ได้เริ่มนำเงินมาให้ บลจ.บริหารมากขึ้น เพราะเงินของนักลงทุนกลุ่มนี้มีขนาดใหญ่มาก จนต้องให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนสร้างผลตอบแทนเพิ่ม ขณะเดียวกันนักลงทุนต่างประเทศทั้งในสิงคโปร์ ฮ่องกง สวิตเซอร์แลนด์ ซูริก ก็เป็นกลุ่มที่ยังเข้ามาซื้อหุ้นไทยต่อเนื่อง แต่จะเป็นการเก็งกำไรช่วงสั้น เพราะกลัวการปรับตัวลดลงของดัชนี ดังนั้นเมื่อทำกำไรได้ นักลงทุนกลุ่มนี้ก็มักจะถอนเงินออกไปพักในต่างประเทศ


knowledge_trader