ห้องเม่าปีกเหล็ก

บาทดิจิทัลมาแล้ว เริ่มใช้ไตรมาส 2 ปีหน้า

โดย หญิงแม้น
เผยแพร่ :
62 views

บาทดิจิทัลมาแล้ว เริ่มใช้ไตรมาส 2 ปีหน้า

“บาทดิจิทัลจะมีสถานะเป็นเงินสดดิจิทัล ไม่มีดอกเบี้ย ซึ่งการมีสถานะเป็นเงินสดดิจิทัลนั้น ประชาชนสามารถใช้บาทดิจิทัลกับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และบาทดิจิทัลยังสามารถเปิดช่องในการต่อยอดนวัตกรรมต่างๆ จากผู้ให้บริการทางการเงินต่างๆ ที่ง่ายกว่ารูปแบบของเงินอิเล็กทรอนิกส์ ในปัจจุบัน อย่างไรก็ดี การแจกจ่ายบาทดิจิทัลไปยังประชาชน ยังคงต้องการตัวกลางอย่างธนาคาร เป็นผู้บริหารจัดการ จากคุณสมบัตินี้ภาพของบาทดิจิทัลในประเทศไทยก็เริ่มชัดเจนขึ้นว่าจะมีรูปแบบพัฒนาการและเดินไปในทิศทางใด”

 

ธปท. ลุย PilotProject แรก ไตรมาส 2 ปี 65 มุ่งสร้าง NewInfrastructure ของระบบการชำระเงิน วาง Position เป็นเงินสดแบบดิจิทัล ปลอดดอกเบี้ย กระจายผ่านตัวกลาง ประเมินการใช้งานช่วงแรกเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป พร้อมต่อยอดสู่ CBDC Ecosystem เปิดให้เอกชนพัฒนานวัตกรรมชำระเงินบนแพลตฟอร์มบาทดิจิทัลทั้งแบบ Online และ Offline สร้างUse Case ชำระเงินอนาคต

ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกกำลังขับเคลื่อนโครงการ Central Bank Digital Currency หรือ CBDC ซึ่งป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง โดยส่วนใหญ่จะพบการนำไปใช้ใน 2 ลักษณะคือ

  1. การสร้างเงินที่ออกโดยธนาคารกลางให้กับประชาชน เพื่อเป็นสินทรัพย์ปลอดความเสี่ยง (Risk Free Asset)ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้
  2. การเน้นเรื่องของFinancial Inclusion ที่เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการเงินให้ได้อย่างเท่าเทียม โดยใช้ CBDC เป็นเครื่องมือ

ประเด็นเหล่านี้อยู่ในความสนใจของธนาคารแห่งประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2561 จึงมีการตั้งโปรเจ็กต์อินทนนท์ เพื่อนำ CBDC ไปทดลองใช้ในลักษณะ Wholesale กับสถาบันการเงิน และองค์กรธุรกิจ ก่อนจะขยายการพัฒนาลงมาสู่ Retail CBDC หรือบาทดิจิทัลสำหรับภาคประชาชน ที่ขณะนี้มีการประกาศแล้วว่าจะเริ่มทดลองใช้ในไตรมาส 2 ปี 2565

การเงินธนาคาร ได้สัมภาษณ์พิเศษ วชิรา อารมย์ดี ผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้ช่วยผู้ว่าการ) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เกี่ยวกับการพัฒนา CBDC ของธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งแต่การตั้งต้นทดลองฝั่ง Wholesale CBDC จนถึง Retail CBDC รูปแบบของบาทดิจิทัลที่จะใช้ ความสำคัญต่อระบบการเงินของประเทศไทย การสร้าง Foundation และ Infrastructure เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความต้องการใช้งานของภาคประชาชนและผลกระทบต่างๆ รวมถึงการที่ธปท.จะผลักดันให้เกิด Ecosystem ในการผลิตนวัตกรรมด้านการชำระเงินที่ขับเคลื่อนโดยภาคเอกชน

 

ตั้งต้นจาก Wholesale CBDC

สู่การพัฒนาบาทดิจิทัล

วชิรา กล่าวว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้เริ่มพัฒนาโครงการ Central Bank Digital Currency (CBDC)ในปี 2561 เนื่องจากเห็นว่าเทคโนโลยี Blockchain และ Distributed Ledger Technology (DLT) จะเป็นสิ่งที่สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอนาคต โดยธปท.เล็งเห็นถึงประโยชน์ของการทำ CBDC เพื่อวางรากฐานและโครงสร้างพื้นฐานระบบการเงิน ไทยให้พร้อมรับโลกการเงินในอนาคต และเพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชน จึงได้เริ่มศึกษา พัฒนาและทดสอบ CBDC อย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นจากการพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลสำหรับให้สถาบันการเงินใช้ทำธุรกรรมระหว่างกัน (Wholesale CBDC) ภายใต้ชื่อ “โครงการอินทนนท์” มาจนถึงการพัฒนา Fiat Money ให้เป็น Retail CBDC หรือบาทดิจิทัลในปัจจุบัน

“เราเริ่มพัฒนา CBDC โดยตั้งต้นจากฝั่ง Wholesale ภายใต้โครงการอินทนนท์ นำเทคโนโลยี DLT มาใช้กับการโอนเงินระหว่างธนาคารกับธนาคาร ตัดระบบตัวกลางออก และให้ธนาคารโอนเงินกันได้เหมือนกับระบบ RealTimeGross Settlement (RTGS) ส่วน ธปท.จะเปลี่ยนจากสถานะตัวกลางไปเป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้องแทนซึ่งจากการทดลองพบว่าเทคโนโลยี DLT สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของระบบได้จริง และสามารถใส่ฟังก์ชั่น Programmability บางอย่างเข้าไปได้ แม้ว่าจะยังติดข้อจำกัดเรื่องของการ Scalability อยู่บ้าง ซึ่งก็ต้องมีการพัฒนาต่อไปอีก”

วชิรากล่าวต่อว่า หลังจากนั้น ธปท.ก็ขยายการทดลองไปทำเรื่องธุรกรรมระหว่างประเทศ ซึ่งธปท. ได้เชิญ 8 ธนาคารเข้ามาร่วมพัฒนาด้วยและยังร่วมมือกับธนาคารกลางฮ่องกง ในการออกแบบระบบการทำธุรกรรมระหว่างธนาคารพาณิชย์ของประเทศไทยกับธนาคารพาณิชย์ในฮ่องกงเพื่อลดขั้นตอนที่ซับซ้อนและต้นทุนในระบบเดิม ทำให้ธนาคารสามารถทำธุรกรรมระหว่างกันได้โดยตรงและตัดธนาคารตัวแทนต่างประเทศ (Correspondent Bank) ออกเพื่อลดค่าใช้จ่าย ซึ่งหลังจากการทดลองสำเร็จ ธนาคารกลางของจีนและธนาคารกลางยูเออี ได้ตัดสินใจเข้ามาร่วมในการพัฒนาระยะต่อไป ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการพัฒนา เพราะต้องคำนึงถึงนโยบายและกฎระเบียบของแต่ละประเทศ

“การร่วมมือกันของ 4 ธนาคารกลางถือเป็นโปรเจ็กต์ใหญ่ ที่ต้องมีการพัฒนาในระยะยาว เพราะต้องคำนึงถึงนโยบาย กฎหมาย ระเบียบข้อบังคับของแต่ละประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการทำงานร่วมกัน”

 จากนั้นธปท.ก็ขยายการพัฒนา CBDC มาสู่ภาคองค์กรธุรกิจโดยร่วมมือกับกลุ่มเครือซิเมนต์ไทย (SCG) และดิจิทัลเวนเจอร์ส เครือธนาคารไทยพาณิชย์ ทดลองนำ CBDC มาใช้กับองค์กรว่ามีประโยชน์ด้านใดบ้าง เพื่อให้เห็นภาพการใช้งาน CBDC ของภาคธุรกิจที่ชัดเจนมากขึ้นซึ่งจากแผนการพัฒนาตั้งแต่ต้นทำให้ธปท.เห็นภาพการพัฒนาตั้งแต่ระดับบนลงล่าง และมีความมั่นใจที่จะพัฒนา Retail CBDC หรือบาทดิจิทัลสำหรับภาคประชาชน

เผยโฉมบาทดิจิทัลไตรมาส 2 ปี 65

วางโครงสร้างชำระเงินแห่งอนาคต

วชิรากล่าวว่า การพัฒนาบาทดิจิทัลจะช่วยให้ประชาชน สามารถเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีทางการเงินของภาครัฐที่มีความน่าเชื่อถือปลอดภัย สามารถรองรับและเชื่อมโยงกับสกุลเงินดิจิทัลทางเลือก รวมถึงผู้เล่นใหม่ซึ่งจะช่วยต่อยอดและตอบโจทย์โลกยุคดิจิทัลข้างหน้า นอกจากนี้หาก บาทดิจิทัลได้รับความนิยมใช้อย่างแพร่หลาย สามารถทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเป็นเครื่องรักษามูลค่าและเป็นหน่วยวัดมูลค่าในระบบเศรษฐกิจ จะมีส่วนช่วยรักษาอธิปไตยทางการเงิน เพิ่มเสถียรภาพของระบบการเงิน จนถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของการส่งผ่านนโยบายการเงินได้

การพัฒนาบาทดิจิทัลนั้น นอกจากจะเป็นทางเลือกในการใช้จ่ายและชำระเงินรวมถึงเป็นโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการต่อยอดนวัตกรรมทางการเงินในยุคดิจิทัลแล้ว ยังเอื้อประโยชน์ต่อสังคมและระบบเศรษฐกิจการเงินใน4 ด้านสำคัญคือ

  1.         ช่วยลดพฤติกรรมการผูกขาดของธุรกิจการเงินภาคเอกชนรายใดรายหนึ่งโดยเฉพาะ (Monopolistic Behaviors)ทำให้ผู้บริโภคได้รับความเป็นธรรมและการคุ้มครองมากขึ้น โดยในบางประเทศนั้น ระบบการเงินมีแนวโน้มเติบโตโดยมีผู้เล่นภาคเอกชนไม่กี่ราย ทำให้มีความเสี่ยงที่ผู้ใช้เงินดิจิทัลหรือสกุลเงินดิจิทัลภาคเอกชนจะถูกคิดค่าธรรมเนียมที่ไม่จำเป็นหรือได้รับบริการที่ไม่ได้คุณภาพเท่าที่ควร อีกทั้งข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง

         โดยประเทศไทยนั้น ระบบการเงินมีพัฒนาการอย่างก้าวกระโดดทั้งในแง่รูปแบบการให้บริการและผู้เล่นที่หลากหลาย ทั้งสถาบันการเงิน นอนแบงก์ และฟินเทคซึ่งการเติบโตอย่างต่อเนื่องและการแข่งขันที่สูงขึ้นของผู้ให้บริการภาคเอกชนรายใหม่อาจส่งผลให้เหลือผู้ให้บริการเพียงไม่กี่รายในที่สุด และอาจนำไปสู่พฤติกรรมการผูกขาด ดังนั้นสกุลเงินดิจิทัลของภาครัฐที่ไม่มีจุดประสงค์ในการแสวงหากำไรและมีความเป็นกลางน่าจะช่วยเข้ามาลดทอนผลกระทบเหล่านี้ได้

  1. สร้างอุปสรรคต่อการดำเนินกิจกรรมในเศรษฐกิจนอกระบบ (gray economy)และเศรษฐกิจผิดกฎหมาย (Black Economy) เนื่องจากธุรกิจผิดกฎหมายส่วนใหญ่มักอาศัยเงินสดในการทำธุรกรรมซึ่งในทางทฤษฎีแล้วบาทดิจิทัลสามารถเป็นเครื่องมือในการติดตามเพื่อช่วยลดกิจกรรมเหล่านี้ได้ แต่ก็ต้องพิจารณาเรื่องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้โดยละเอียดควบคู่ไปด้วย
  2. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐภาครัฐสามารถใช้ข้อมูลของผู้ใช้บาทดิจิทัลในการดำเนินนโยบายการคลังให้ตรงจุด ลดการรั่วไหลและวัดผลได้ชัดเจนขึ้น ยกตัวอย่างเช่นมาตรการเยียวยาหรืออัดฉีดเงินเข้าสู่กระเป๋าเงินของประชาชนโดยตรง (government-to-person (G2P) transfers)
  3. เป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพกว่าการใช้เงินสด เนื่องจากบาทดิจิทัลจะมีต้นทุนต่อหน่วยที่ต่ำกว่า ยิ่งการใช้บาทดิจิทัลเป็นที่นิยม จะยิ่งช่วยลดต้นทุนต่อหน่วย (Marginal Cost)ของการใช้เงินสดต่อระบบเศรษฐกิจและทำให้การดำเนินกิจกรรมเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพสูงขึ้น

วชิราอธิบายว่า ช่วงแรกของการพัฒนาบาทดิจิทัลจะเป็นการวางโครงสร้างพื้นฐาน เพราะการทำธุรกรรมในโลกอนาคตจะไม่ใช่แค่เรื่องการโอนเงินอย่างเดียว แต่สินทรัพย์ต่างๆ จะถูกทำให้อยู่ในรูปดิจิทัล และการทำธุรกรรมก็อาจจะอยู่ในรูปแบบเดียวกัน ดังนั้น ธปท.จึงต้องเตรียมตัวให้พร้อม ในช่วงแรกบาทดิจิทัลคงเป็นทางเลือกในการชำระเงิน ระหว่างธนบัตร (โลกเก่า) E-Money (โลกอิเล็กทรอนิกส์)และบาทดิจิทัล (โลกดิจิทัล)

โดยทั้ง 3 รูปแบบนี้จะเป็นทางเลือกการชำระเงินให้ประชาชน แต่ในท้ายสุดจะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับหลายองค์ประกอบ ทั้งความเข้าใจในเทคโนโลยีดิจิทัลของประชาชน และ Use Case ด้านนวัตกรรมการใช้งานบาทดิจิทัลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่ง 2 องค์ประกอบนี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้โลกการชำระเงินเปลี่ยนไป

“บาทดิจิทัลเป็นสิ่งที่ธปท.ต้องทำ เพราะโลกได้เปลี่ยนวิธีการคิดไปแล้ว หลายประเทศก็เตรียมการณ์เรื่องนี้ ซึ่งบาทดิจิทัลเป็นสิ่งที่ธปท.มองว่ามีประโยชน์ เพราะพื้นฐานของระบบสามารถต่อยอดได้เยอะ สามารถไปถึงการเป็น Ecosystem ที่สามารถเชื่อมต่อโลกดิจิทัลได้ทั้งหมด และจะทำให้เกิดประโยชน์ต่างๆตามมา แต่ก็ต้องมีการกำกับดูแลควบคู่ไปด้วย”

วชิรากล่าวว่า ในการพัฒนานั้น ธปท. ได้คำนึงถึง 3 ประเด็นสำคัญคือ

  1.      การส่งผ่านนโยบายการเงินต่างๆ (Policy Transmission)
  2. ความมั่นคงของสถาบันการเงิน (Financing Stability)
  3. ความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต (Financial Landscape)เพราะโพสิชั่นของบาทดิจิทัลที่เป็นสินทรัพย์ปลอดความเสี่ยง อาจส่งผลกระทบต่อสถานะตัวกลางของธนาคารพาณิชย์ได้

ธปท.ได้กำหนดรูปแบบของบาทดิจิทัลที่จะเปิดใช้ในประเทศไทย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและจะต้องไม่สร้างผลกระทบรุนแรงต่อการส่งผ่านนโยบายการเงิน การทำงานของระบบสถาบันการเงิน และเสถียรภาพโดยรวมของภาคการเงินไทย โดยมีลักษณะสำคัญ คือ

  1.      มีรูปแบบคล้ายเงินสด และไม่จ่ายดอกเบี้ย
  2. อาศัยตัวกลาง เช่น สถาบันการเงิน ในการแลกเปลี่ยนบาทดิจิทัลกับประชาชน 
  3. มีเงื่อนไขหรือระยะเวลาสำหรับการแลกเปลี่ยนบาทดิจิทัลจำนวนมากๆ

“บาทดิจิทัลจะมีสถานะเป็นเงินสดดิจิทัล ไม่มีดอกเบี้ยซึ่งการมีสถานะเป็นเงินสดดิจิทัลนั้น ประชาชนสามารถใช้บาทดิจิทัลกับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และบาทดิจิทัลยังสามารถเปิดช่องในการต่อยอดนวัตกรรม จากผู้ให้บริการทางการเงิน ที่ง่ายกว่ารูปแบบของเงินอิเล็กทรอนิกส์ ในปัจจุบัน อย่างไรก็ดี การแจกจ่ายบาทดิจิทัลไปยังประชาชน ยังคงต้องการตัวกลางอย่างธนาคาร เป็นผู้บริหารจัดการ จากคุณสมบัตินี้ภาพของบาทดิจิทัลในประเทศไทยก็เริ่มชัดเจนขึ้นว่าจะมีรูปแบบพัฒนาการและเดินไปในทิศทางใด”

วชิรากล่าวว่า บาทดิจิทัลไม่มีดอกเบี้ย มีลักษณะเป็นสินทรัพย์ปลอดความเสี่ยง จึงไม่เกิดการถือในปริมาณมากในภาวะปกติ เนื่องจากธนาคารมีดอกเบี้ยสำหรับบัญชีออมทรัพย์อยู่แล้ว การใช้งานจึงเป็นการถือเท่าที่จำเป็นต้องใช้ หากไม่ได้ใช้ก็นำฝากเข้าบัญชีออมทรัพย์และถอนออกมาเมื่อจำเป็นต้องใช้เท่านั้น นอกจากนี้ธนาคารยังคงทำหน้าที่ประเมินความเสี่ยงในการให้สินเชื่ออยู่ กระบวนการในระบบจึงคงเหมือนเดิม

สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ Foundation และ Infrastructure ข้างหลังนั้นต่างไปจากเดิม รองรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งอาจยังไม่เห็นผลลัพธ์ชัดเจนในช่วงเริ่มต้น เพราะเป็นช่วงของการทำความเข้าใจ นี่คือภาพเบื้องต้นของการพัฒนา ซึ่งตอนนี้เข้าสู่ช่วงของการ implement เทคโนโลยี และเตรียมการในการทดลองเสมือนจริง คาดว่าในไตรมาส 2 ปี 2565 จะสามารถเริ่มทดลองใช้งานได้

“ในช่วงแรกการใช้งานบาทดิจิทัลจะไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิม จะเหมือนกับการใช้งานพร้อมเพย์ ที่สามารถโอนเงินหรือชำระเงินได้สะดวกรวดเร็ว เพียงแต่จะได้เรื่องของความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ซึ่งตรงนี้ขึ้นกับเรื่องของการออกแบบในการบริหารจัดการข้อมูลผู้ใช้งาน”

 

ใช้จุดเด่น Programmable Money

ดึงบริษัทเทคฯ สร้าง Use Case ชำระเงิน

วชิรากล่าวว่า การให้บริการบาทดิจิทัลกับภาคประชาชน มีองค์ประกอบหลายด้านเข้ามาเกี่ยวข้อง มีทั้ง ธปท.ธนาคารพาณิชย์ รวมถึงผู้ให้บริการด้านการเงินอื่นๆเข้ามาร่วมด้วยเพื่อให้เกิดการแข่งขัน โดยบริการบนบาทดิจิทัลจะเริ่มจากเรื่องพื้นฐาน คือเรื่องการชำระเงินเป็นเรื่องแรก ส่วนบริการด้านอื่นๆจะทยอยตามมา เพราะ Foundation แบบใหม่ และคุณสมบัติในการรองรับการเขียนคำสั่ง Programmable Money สามารถรองรับการต่อยอดบริการด้านการเงินที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่ง ธปท.มีแผนที่จะให้บริษัทเทคโนโลยีเข้ามาร่วมทดลองสร้าง Use Case ที่น่าจะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย ขณะนี้ อยู่ระหว่างการกำหนดรายละเอียดของโครงการว่าจะมีใครเข้ามาร่วมและจะเปิดให้เข้าถึงระบบได้มากน้อยแค่ไหน รวมถึงให้บริการในรูปแบบใดได้บ้าง

“บาทดิจิทัลสามารถใช้งานได้ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ใช้งานผ่าน Wallet บนโทรศัพท์มือถือเป็นหลัก การโอนเงินจะสามารถทำได้แม้ไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต แต่ก็ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นโทรศัพท์มือถือเท่านั้น เพราะประชาชนอาจไม่ได้มีสมาร์ตโฟนครบทุกคน หากเรามองเป้าหมายที่ Financial Inclusion ก็สามารถพัฒนา Wallet ออกมาในรูปของการ์ด เพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถใช้งานได้ แต่ในการใช้งานก็จะมีข้อจำกัด เพราะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยไซเบอร์ด้วย”

ในด้านเทคโนโลยีนั้นธปท.จะไม่ใช้เทคโนโลยี DLT ทั้งหมด แต่จะเป็นแบบ Hybrid ที่พื้นฐานจะยังเป็นแบบ Centralize และบางส่วนจะนำเทคโนโลยี DLT มาครอบเพื่อใช้ประโยชน์ของ Programmability Money หากสามารถต่อยอดได้จะเกิดประโยชน์อย่างมากในอนาคต ซึ่งประเทศจีนที่กำลังขับเคลื่อนหยวนดิจิทัลก็เลือกใช้วิธีนี้เช่นกัน

วชิรากล่าวว่า การทดลองใช้บาทดิจิทัลในช่วงไตรมาส  2 ปี 2565 จะเปิดทดสอบในบางพื้นที่ โดยมองถึงขอบเขตประชากรราว 30,000 คน และในการทดสอบจะมีธนาคารพาณิชย์ทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการปล่อยบาทดิจิทัล และรองรับการทำธุรกรรมระหว่างบาทดิจิทัลกับเงินฝาก มีประชาชนเป็นผู้ใช้งาน มีร้านค้าที่รับบาทดิจิทัลและมีผู้ให้บริการเก็บรักษา Key ของ Wallet

การทดสอบจะเริ่มจากฟังก์ชั่นการชำระเงินซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐาน โดยจะเริ่มในพื้นที่สวนอาหารของธปท. ก่อนจะขยายออกไปตามพื้นที่ต่างๆ ครอบคลุมร้านค้าเล็กๆ ร้านค้าออนไลน์ รวมถึงร้านค้าที่มีหลายสาขาและยังมองถึงการทดสอบใช้งานกับระบบขนส่งด้วย

“เราจะเริ่มทดลองใช้จากเรื่องง่ายๆก่อน เช่น การใช้บาทดิจิทัลภายในสวนอาหารของธปท. เพื่อทดลองใช้ฟังก์ชั่นพื้นฐาน และจะเชิญให้บริษัทเทคโนโลยีเข้ามาร่วมพัฒนา Use Case สร้างนวัตกรรมการชำระเงินด้วย ภาพนี้จะเริ่มเห็นได้ในไตรมาส 2 ปีหน้า และในระยะต่อไป ธปท.จะขยายการทดลองใช้ด้วยการเชื่อมกับระบบจริง มีการทำธุรกรรมโอนเงินฝากไปเป็นบาทดิจิทัลและโอนบาทดิจิทัลกลับมาเป็นเงินฝาก มีการต่อเข้ากับระบบชำระเงินของธปท. ซึ่งเรื่องนี้อยู่ใน Pipe Line ของการพัฒนาแล้ว”

วชิรากล่าวว่า ด้วย Foundation ใหม่จะเอื้อให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมด้านการชำระเงินที่หลากหลาย จากจุดเด่นในเรื่องของการทำ Programmable Money เช่น การที่รัฐให้เงินช่วยเหลือประชาชน และกำหนดให้ใช้จ่ายในร้านค้าที่กำหนด ซึ่งบาทดิจิทัลจะสามารถโปรแกรมการใช้งานให้ตรงกับความต้องการ และตรวจสอบได้ง่าย

รวมถึงการใช้งานลักษณะ “ทยอยชำระ” ตัวอย่างเช่น ต้องการชำระเงิน 100 บาท ในระยะเวลา 10 วัน จากเดิมที่จะต้องรอครบ 10 วันแล้วจึงชำระ 100 บาท Programmable Money สามารถทำให้เกิดการชำระเงินอัตโนมัติวันละ 10 บาท จำนวน 10 วัน จนครบ 100 บาท ภายใต้ต้นทุนการทำธุรกรรมที่ต่ำกว่าระบบเดิม

“Use Case จะเกิดขึ้นจากการต่อยอดบน Foundation ใหม่ที่สามารถทำได้แบบ 24x7 และทั้งธนาคาร นอนแบงก์ บริษัทเทคโนโลยีต่างๆสามารถเข้ามาร่วมพัฒนาได้ เพราะบาทดิจิทัลคือเงินสดในรูปดิจิทัล การพัฒนา Use Case จะทำได้สะดวกขึ้น ซึ่งในอนาคตภาคเอกชนจะเป็นผู้ที่จะขับเคลื่อนนวัตกรรม โดยธปท.จะสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาเป็นวงกว้าง และอาจต่อยอดไปถึงการแข่งขันสร้างนวัตกรรม(Hackathon) บนแพลตฟอร์มของบาทดิจิทัลด้วย”

 

บาทดิจิทัลเป็นทางเลือกชำระเงิน

การใช้งานจะโตแบบค่อยเป็นค่อยไป         

วชิรากล่าวว่า ในมุมของผู้ใช้นั้น ช่วงแรกอาจยังไม่รู้สึกถึงความต่าง เช่นเดียวกับในประเทศจีนที่ช่วงแรกรัฐบาลต้องมีการสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้ดิจิทัลหยวน เพราะคนจีนกังวลว่าอาจทำให้ธนาคารกลางเห็นข้อมูลการใช้จ่ายของตัวเอง ดังนั้นธปท.จึงตั้งใจออกแบบระบบให้ยังคงความเป็นส่วนตัวเอาไว้ในระดับหนึ่ง เพื่อให้สอดคล้องกับสถานะเงินสดดิจิทัลแต่จะยังคงอยู่บนแนวทางปฏิบัติตามมาตรฐานสากลป้องกันการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย(AML/CFT) รวมถึงหากเป็นธุรกรรมขนาดใหญ่ที่มีความจำเป็นต้องมีการสืบสวน ก็สามารถที่จะเข้าไปดูข้อมูลได้ แต่จะไม่ใช่การเข้าดูผ่านธปท. เพราะข้อมูลจะถูกกระจายเก็บในโหนดต่างๆ และระบบออกแบบมาให้การเข้าถึงข้อมูลทำได้ยาก เพื่อให้ประชาชนมีความสบายใจในการใช้งาน

ส่วนการใช้บาทดิจิทัลแบบเป็นทางการนั้นยังต้องใช้เวลา การทดลองที่จะเกิดขึ้นในปี 2565 ยังเป็นการสร้าง Use Case ในวงจำกัด ภายใต้องค์ประกอบที่ครบ ซึ่งในการใช้จริงนั้นจะต้องมีการหารือกับทุกส่วนใน Ecosystem ว่าจะพัฒนาไปในทิศทางใด

“หากเกิดเหตุการณ์ที่มีความผิดปกติและมีผลกระทบร้ายแรง และมีความจำเป็นที่จะต้องตรวจสอบก็น่าจะพอทำได้ สิ่งสำคัญคือต้องทำให้บาทดิจิทัลเหมือนเงินสดมากที่สุด เพื่อให้ประชาชนมีความสบายใจที่จะใช้งาน”

วชิรากล่าวว่า ในระยะข้างหน้าคนไทยจะใช้งานบาทดิจิทัลมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้ใช้เทียบกับสื่อการชำระเงินอื่นๆ เช่น เงินสด อินเทอร์เน็ตและโมบายล์แบงกิ้ง เช็ค e-money หรือสกุลเงินดิจิทัลภาคเอกชนเช่น Stablecoinsที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้มีมูลค่าใกล้เคียงกับเงินตราจากการประเมินจากมุมมองของผู้ใช้เงินทั้งในด้านประโยชน์ ต้นทุน และความเสี่ยงพบว่าบาทดิจิทัลจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของสื่อการชำระเงิน สามารถเข้ามาแทนการใช้เงินสดและ e-money ได้บางส่วนและจะสามารถแข่งขันกับ Stablecoinsได้เนื่องจากบาทดิจิทัลถูกยอมรับให้ใช้ชำระเงินในวงกว้าง

สามารถเชื่อมต่อระหว่างแพลตฟอร์มบริการด้านการเงินอื่นๆ ได้ มีต้นทุนการทำธุรกรรมและมีความเสี่ยงต่ำแต่ก็จะยังมีประชาชนบางกลุ่มที่ต้องการใช้เงินสด เช่น กลุ่มที่ไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีการชำระเงินใหม่ ขณะที่ผู้ใช้ e-money บางส่วนจะยังต้องการเข้าถึงบริการพิเศษอื่น รวมถึงได้สิทธิประโยชน์หรือโปรโมชั่นส่งเสริมการขายที่จูงใจ นอกจากนี้บาทดิจิทัลจะไม่สามารถทดแทนเช็คได้ เนื่องจากข้อกฎหมายของไทยให้ใช้เช็คเป็นหลักฐานดำเนินคดีอาญาได้รวมถึงเช็คมีทิศทางการพัฒนาให้เป็นรูปแบบดิจิทัลให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สำหรับเงินฝากธนาคารที่ผูกโยงกับอินเทอร์เน็ตและโมบายล์แบงกิ้ง คาดว่าจะไม่ถูกทดแทนด้วย บาทดิจิทัลเนื่องจากปัจจุบันสามารถใช้จ่ายชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ได้สะดวกและมีต้นทุนการทำธุรกรรมต่ำอยู่แล้ว จากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานผ่านระบบพร้อมเพย์และ QR Code ในไทย รวมทั้งเงินฝากจะยังเป็นทางเลือกหลักของประชาชนในการออมเงิน

“คาดว่าคนรุ่นใหม่น่าจะให้ความสนใจทดลองใช้บาทดิจิทัลเยอะ ผู้ที่ติดตามการพัฒนาของธปท.ก็น่าจะอยากทดลองใช้ แต่ทดลองใช้แล้วจะใช้ต่อหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการออกแบบการใช้งาน และฟังก์ชั่นต่างๆ กลุ่มแรกที่น่าจะเข้ามาใช้งานคือกลุ่มที่ชื่นชอบเทคโนโลยี โจทย์สำคัญคือทำอย่างไรให้คนที่ทดลองใช้แล้วอยากใช้ต่อไป และธปท.จะต้องมีการเข้าหาผู้ใช้หลายๆกลุ่มเพื่อสื่อสารการใช้งานบาทดิจิทัล และนำผลลัพธ์ในแง่มุมต่างๆมาพัฒนาต่อไป ซึ่งโดยรวมแล้วธปท.เชื่อว่าการเติบโตของบาทดิจิทัลจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป”

 

รูปแบบของบาทดิจิทัลที่คาดว่าจะใช้ในไทย

  1. ผู้ใช้สามารถถือบาทดิจิทัลได้ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์เช่น สมาร์ตการ์ด ที่มีลักษณะคล้ายเงินสด อันเป็นรูปแบบของสื่อการชำระเงินที่ประชาชนคุ้นเคยอยู่แล้ว เพื่อให้ผู้ใช้งานทุกกลุ่มเข้าถึงบริการทางการเงินพื้นฐานได้อย่างทั่วถึง แม้ไม่มีบัญชีเงินฝากกับธนาคาร
  2. ไม่สร้างภาระต้นทุนค่าธรรมเนียมให้ผู้ใช้งาน เพื่อให้ประชาชนได้รับความเป็นธรรมและมีสื่อการชำระเงินที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เล่นหลากหลายกลุ่มเข้ามามีบทบาทและเชื่อมโยงการทำธุรกรรมร่วมกับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอื่นๆ โดยมีต้นทุนค่าธรรมเนียมต่ำที่สุดเพื่อสร้างEcosystem ที่มีผู้เล่นหลากหลายเข้ามาพัฒนานวัตกรรมทางการเงินอย่างสร้างสรรค์และเขียนโปรแกรมเพิ่มลักษณะพิเศษ (Programmability) บนบาทดิจิทัล
  3. กระจายบาทดิจิทัลผ่านตัวกลาง เช่น สถาบันการเงิน หรือผู้ให้บริการทางการเงิน เพื่อรักษาบทบาทของตัวกลางทางการเงินในปัจจุบันที่มีความชำนาญและคุ้นเคยในการทำKYC (Know Your Customer)กับธุรกิจและประชาชนอยู่แล้ว
  4. ไม่จ่ายดอกเบี้ยและจำกัดปริมาณการถือหรือการไถ่ถอน เพื่อป้องกันการถอนเงินจำนวนมากอย่างรวดเร็วจนอาจกระทบต่อเสถียรภาพระบบสถาบันการเงินและยอดเงินฝากของประชาชนโดยเฉพาะในช่วงวิกฤติรวมทั้งเพื่อป้องกันธุรกรรมการฟอกเงิน หรือการดำเนินกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย
  5. ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีCentralizedและ Decentralizedเพื่อช่วยประมวลผลธุรกรรมปริมาณมากได้อย่างรวดเร็ว และทำให้ประชาชนได้ใช้สื่อการชำระเงินที่มีประสิทธิภาพมีความเสถียรและใช้เทคนิคการเข้ารหัส (Cryptographic Techniques) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้ผู้ใช้

 

พัฒนาการและผลกระทบของหยวนดิจิทัลในปัจจุบัน

หยวนดิจิทัล หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือDigital Currency Electronic Payment (DCEP)เป็นสกุลเงินดิจิทัล(Central Bank Digital Currency : CBDC)ที่ถูกสร้างโดยธนาคารกลางของจีน(People's Bank of China: PBOC)มีความน่าเชื่อถือ สามารถใช้เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนได้ตามกฎหมายจีน มีความผันผวนของค่าเงินแปรผันตามเงินหยวนปกติ โดยหยวนดิจิทัลถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี 2014โดยมีมูลค่าเทียบเท่าเงินหยวนแบบกระดาษในอัตราส่วน 1:1และสามารถใช้ผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ได้ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์

ประโยชน์อีกประการของหยวนดิจิทัลคือการที่รัฐบาลจีนสามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินต่างๆ เพื่อป้องกันการทำธุรกรรมที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย เช่น การฟอกเงินการหนีภาษี รวมถึงการที่ธนาคารกลางจีนสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการผลักดันบทบาทของสกุลเงินหยวนให้เป็นสากลมากยิ่งขึ้น สร้างอำนาจการต่อรองให้กับจีนในเวทีการเมืองโลกได้มากขึ้น

 

พัฒนาการหยวนดิจิทัล

  1.         นำร่อง 4 เมืองใหญ่ จีนได้นำร่องการใช้หยวนดิจิทัลในปี 2020 ผ่าน 4 เมืองแรก ได้แก่ เซินเจิ้น,ซูโจว, สงอัน และเฉิงตู โดยเปิดให้ประชาชนที่สนใจทดลองสามารถนำเงินหยวนปกติไปแลกเป็นหยวนดิจิทัลผ่าน DCEP Wallet ในสถาบันการเงินที่รัฐกำหนดให้รวมถึงเปิดลงทะเบียนรับอั่งเปา ในรูปแบบหยวนดิจิทัลไปทดลองใช้ในช่วงตรุษจีนที่ผ่านมาโดยร้านค้าในจีนเริ่มเปิดรับชำระเงินเป็นหยวนดิจิทัลแล้วจำนวนหนึ่ง
  2. ทดลองใช้ระหว่างสถาบันการเงินธนาคารกลางจีนได้แจกจ่ายหยวนดิจิทัลให้สถาบันการเงินได้ทดลองใช้ในการทำธุรกรรมระหว่างสถาบันการเงินในจีน รวมถึงได้เริ่มทดลองใช้ในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศแล้วกับธนาคารกลางฮ่องกง (HKMA)ทั้งในด้านการใช้แอปพลิเคชั่นที่เกี่ยวข้องการเชื่อมต่อระบบต่างๆ และจำลองการใช้งานในบางสถานการณ์ เช่น การซื้อสินค้าข้ามพรมแดน
  3. ขยายการใช้งานสู่ภาคขนส่งมวลชนธนาคารกลางจีนร่วมมือกับธนาคารเพื่อการอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ของจีน (ICBC)และการรถไฟใต้ดิน ทำโครงการนำร่องเพื่อให้ชาวจีนสามารถใช้หยวนดิจิทัลชำระค่าโดยสารรถไฟใต้ดินในปักกิ่งโดยความร่วมมือกับองค์กรขนส่งมวลชนและภาคธุรกิจนี้ถือเป็นการขยายขอบเขตการใช้งานดิจิทัลหยวนให้กว้างมากขึ้น ซึ่งการเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนและการบริโภคภาคประชาชนถือเป็นก้าวที่สำคัญในการเข้าถึงผู้ใช้งานจำนวนมาก
  4. จับมือธนาคารพาณิชย์ฝากถอนหยวนดิจิทัลผ่านเอทีเอ็มธนาคารกลางจีนได้ขยายความร่วมมือกับธนาคารICBCเพื่อใช้งานตู้เอทีเอ็มจำนวน 3,000 เครื่องและธนาคารเพื่อการเกษตรแห่งประเทศจีน (ABC)เปิดใช้งานตู้เอทีเอ็มอีก 10 เครื่องให้รองรับการถอนเงินหยวนดิจิทัลออกมาเป็นเงินสด หรือฝากเงินสดเพื่อแปลงเป็นหยวนดิจิทัล โดยเริ่มใช้กับเครื่องเอทีเอ็มในย่านธุรกิจในกรุงปักกิ่ง
  5. นโยบายกระตุ้นการใช้งานธนาคารกลางจีนมีนโยบายสนับสนุนให้ผู้ให้บริการชำระเงินต่างๆเริ่มพัฒนาฟีเจอร์ของกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์เพื่อรองรับการใช้งานหยวนดิจิทัลในด้านต่างๆ เพิ่มมากขึ้นเพื่อขยายฐานการใช้ไปสู่บริการที่กว้างขวางขึ้นนอกจากธุรกิจการค้าและบริการ เห็นได้จากปั๊มน้ำมัน 27 แห่งในกรุงในปักกิ่ง เริ่มรองรับการใช้หยวนดิจิทัลด้วย โดยผู้ใช้สามารถซื้อสินค้า บริการต่างๆ รวมถึงเติมน้ำมันและชำระเป็นหยวนดิจิทัลได้
  6. ทิศทางหยวนดิจิทัล ปัจจุบันธนาคารกลางจีนเปิดให้ประชาชนที่สนใจใช้เงินหยวนดิจิทัลใช้งานผ่านDCEP Wallet Appซึ่งเป็นE-Walletที่ธนาคารกลางจีนสร้างขึ้น รวมถึงสามารถใช้ผ่านแพลตฟอร์มการชำระเงินที่นิยมในจีนได้ เช่น  Alipayหรือ WeChat Pay ทำให้จีนกลายเป็นประเทศแรกในโลกที่มีสกุลเงินดิจิทัลแห่งชาติอย่างเป็นทางการ นอกจากนั้นธนาคารกลางจีนยังมีแผนจะเปิดใช้งานหยวนดิจิทัลในตลาดฟิวเจอร์เร็วๆนี้ และคาดการณ์ว่าหยวนดิจิทัลจะถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในทั่วประเทศ รวมถึงเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาเข้ามาในประเทศจีนสามารถใช้หยวนดิจิทัลได้ โดยไม่ต้องมีบัญชีธนาคารในจีนภายในปี 2022 นี้

 


หญิงแม้น