บล.กสิกร ย้อนรอย5 เหตุระเบิดขย่มตลาดหุ้น พร้อมคาดบอม7จังหวัดภาคใต้กระทบหุ้นไทยระยะสั้น ชี้ยังมีปัจจัยบวกผลประกอบการบจ.ไตรมาส2/59 พยุง และหากนักลงทุนต่างชาติยังซื้อต่อจะประคองตลาดให้ยืนเหนือ 1,490 จุดได้
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กสิกรไทย กล่าวว่า จากเหตุการณ์ระเบิด 7 จังหวัดภาคใต้ ทั้งการวางระเบิด (13 จุด)และวางเพลิง (4 จุด) ในช่วงวันที่ 11-12 ส.ค. 2559 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ท่องเที่ยว จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 รายบาดเจ็บประมาณ 30 ราย
ฝ่ายวิจัยคาดว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะมีปฎิกิริยาเชิงลบตอบรับต่อเหตุการณ์ดังกล่าวในช่วงสั้น ก่อนที่จะค่อยๆฟื้นตัวอีกครั้ง (หากทางการสามารถควบคุมสถานการณ์ได้) โดยอ้างอิงจากเหตุการณ์วินาศกรรมที่สำคัญในอดีตตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจะไล่ตั้งแต่
1. เหตุระเบิดใน กทม. 8 จุด ในช่วงรอยต่อระหว่าง 31 ธ.ค. 2549 - 1 ม.ค. 2550 มีผู้เสียชีวิต 3 คน และบาดเจ็บ 38 คน
โดยผลที่เกิดขึ้นทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทย ปรับร่วงในวันทำการวันแรกหลังเกิดเหตุการณ์กว่า 3.03% และลงต่อเนื่องต่อไปอีกทั้งสัปดาห์จนติดลบ 6.77% (นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิตลอดสัปดาห์ 1.8 พันล้านบาท) ก่อนที่จะค่อยๆฟื้นตัวในอีก 1 เดือนถัดมาจนเหลือติดลบ 3.8%
2. เหตุระเบิดรับวาเลนไทน์ 14 ก.พ. 2555 ที่ สุขุมวิท 71 เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บ 5 คน
ทั้งนี้เหตุดังกล่าวส่งผลกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นไทย ให้ปรับลดลงในวันแรก 0.98% และพลิกกลับมาบวกในวันถัดมา 1.8% และบวกต่อเนื่องไปตลอดเดือน 2.9%
3. เหตุระเบิดที่โรงแรมลีการ์เด้นพลาซ่า หาดใหญ่ 31 มี.ค. 2555 เป็นเหตุระเบิดครั้งรุนแรงที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในไทย ทำให้มีผู้เสียชีวิต 12 ราย และบาดเจ็บกว่า 300 ราย
โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยหลังจากนั้น กลับบวกขึ้นมาในวันแรก 0.2% ก่อนจะมาปรับลดลงในช่วงปลายสัปดาห์จนติดลบ 1.19% แต่สามารถพลิกฟื้นบวกต่อเนื่องตลอด 1 เดือนถัดมากว่า 3.6%
4. เหตุระเบิดหน้า ราม 43/1 26 พ.ค. 2556 มีผู้บาดเจ็บ 7 คน
ส่งผลกระทบต่อ ดัชนีตลาดหุ้นไทยให้ปรับลดลงในวันแรก 0.89% นักลงทุนต่างประเทศขายหนัก 6.6 พันล้านบาท ก่อนจะลงต่อเนื่องไปตลอดเดือนกว่า 12%ตามกระแสเงินทุนไหลออก (สภาวะตลาดช่วงนั้นกำลังกังวลต่อการยุติมาตรการทางการเงินเชิงปริมาณ หรือ QE)
5. เหตุระเบิดแยกราชประสงค์ 17 ส.ค. 2558 มีผู้เสียชีวิต 20 คน และบาดเจ็บกว่า 100 คน (มีระเบิดต่อเนื่องที่สะพานตากสินในวันที่ 18 ส.ค. 2558)
เหตุการณ์ดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นไทย ให้ร่วงลงอย่างหนักในวันที่ 18 ส.ค. กว่า 2.56% และลงต่อเนื่องตลอดทั้งสัปดาห์กว่า 3% ก่อนจะไปลงหนักในวันที่ 24 ส.ค.อีกกว่า 4.5% (สภาวะช่วงนั้นมีประเด็นเรื่องการชะลอตัวทางเศรษฐกิจทั้งจองไทยและจีนเป็นตัวกดดันหลัก) ทั้งนี้ตลาดสามารถฟื้นตัวได้ในอีก 2 เดือนถัดมา
จากทั้ง 5 เหตุการณ์สามารถสรุปได้ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะตอบสนองเชิงลบในวันแรกหลังเกิดเหตุการณ์เฉลี่ย ลบ 0.8% (ระหว่าง +0.2% จนถึงติดลบ 3.03%) นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิเฉลี่ย 2.6 พันล้านบาท และปรับลดลงตลอดทั้งสัปดาห์เฉลี่ย 2.3% (ระหว่าง + 1.12%. ถึง - 6.7%) และลงตลอดเดือน -2.4% (ระหว่าง 3.6% ถึง - 12.8%)
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า ตลาดจะลงหนักในช่วงวันแรก ต่อเนื่องไปตลอดทั้งสัปดาห์ก่อนจะค่อยๆฟื้นตัวในอีก 1-2 เดือนถัดไป
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในครั้งนี้ ตลาดยังมีประเด็นการประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 2/2559 ช่วงโค้งสุดท้ายเป็นตัวช่วย ซึ่งคาดว่าผลประกอบการโดยรวมจะมากกว่างวดไตรมาส 1/2559 (ยังไม่น่าเกิดแรงเทขายจากข่าวที่เกิดขึ้น หรือ Sell on Factมาก)ประกอบกับกระแสเงินทุนยังเป็นขาเข้า (เริ่มมีสัญญาณลบจากการเปิดสถานะขายล่วงหน้า หรือ Short ในตราสารอนุพันธ์)
หากนักลงทุนต่างประเทศยังซื้อต่อ คาดว่าจะประคองตลาดให้ยืนเหนือ 1,490 จุด หากดัชนีลงมาที่บริเวณนี้จะเป็นโอกาสในการเข้าซื้อเพื่อลงทุนระยะสั้นอีกครั้ง