100 วันแรกของ 'ไบเดน' จะส่ง 'หุ้น' ให้ไปต่อได้หรือไม่?
จับตา 100 วันแรกของ "โจ ไบเดน" ที่เข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเป็นทางการไปเมื่อเร็วๆ นี้ จะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดหุ้นอย่างไรบ้าง?
แม้จะผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเดือน แต่เชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่ได้ผลตอบแทนเป็นบวกตั้งแต่เริ่มต้นปี 2021 ตลาดหุ้นโลกบวกขึ้นราว +3% นำโดยตลาดในเอเชีย (ดัชนี MSCI Asia Pacific ex Japan) ที่พุ่งขึ้นมากกว่า +11% (ข้อมูล ณ วันที่ 25 ม.ค.) ส่วนหนึ่งมาจากโมเมนตัมต่อเนื่องจากปลายปีที่แล้วที่ตลาดหวังว่าเศรษฐกิจโลกจะพลิกกลับมาฟื้นตัวหลังกระแสข่าวความสำเร็จของวัคซีน
ปัจจัยที่เข้ามาหนุนเพิ่มเติม ก็คือชัยชนะของพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งซ่อมวุฒิสมาชิกของรัฐจอร์เจีย ทำให้พรรคเดโมแครตกวาดเสียงส่วนใหญ่ทั้ง 2 สภา หรือเรียกกันว่า Blue Wave เกิดเป็นความคาดหวังถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่และการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองระหว่างประเทศในทางที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับสมัย ประธานาธิบดีทรัมป์
และ ประธานาธิบดีโจ ไบเดนก็ไม่ทำให้ตลาดผิดหวัง เขาได้กล่าวถึงแผนงานในช่วง 100 วันแรกที่เริ่มดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ว่าจะดำเนินนโยบายต่างๆ โดยให้ความสำคัญใน 4 เรื่องหลักๆ ได้แก่
1.จัดการกับการระบาดของโรคโควิด-19 การรณรงค์ให้ชาวอเมริกันสวมหน้ากากอนามัยเป็นเวลาอย่างน้อย 100 วัน เพื่อลดการแพร่ระบาด รวมถึงการเร่งตรวจหาผู้ติดเชื้อและฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึง
2.กระตุ้นเศรษฐกิจ ในวันที่ 14 ม.ค. ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศ “American Rescue Plan” หรือมาตรการเยียวยาผลกระทบที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มูลค่ามากกว่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ พุ่งเป้าไปที่การเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เช่น แจกเงินเข้ากระเป๋าชาวอเมริกันเพิ่มอีกคนละ 1,400 ดอลลาร์ มาตรการช่วยเหลือผู้ว่างงาน และพักชำระหนี้สำหรับเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา เป็นต้น
3.ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ให้ความสำคัญกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมาก โดยมีเป้าหมายหลัก คือ การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ผ่านการออกนโยบายและสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงการใช้พลังงานในอุตสาหกรรมต่างๆ ไปสู่พลังงานทดแทน ซึ่งนโยบายที่ได้ประกาศมาแล้ว ได้แก่ การนำสหรัฐกลับเข้าสู่ Paris Agreement ซึ่งเป็นความตกลงเกี่ยวกับการควบคุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ยังได้มีคำสั่งยกเลิกโครงการท่อส่งน้ำมัน Keystone XL รวมถึงระงับแผนการขุดเจาะน้ำมันในมหาสมุทรอาร์กติก
4.ส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางสังคม เพื่อสร้างความสามัคคีในชาติ โดยมีแผนดำเนินการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ เช่น ยกเลิกนโยบายปิดกั้นผู้อพยพจากประเทศมุสลิม และให้ชาวอเมริกันสามารถเข้าถึงระบบบริการสุขภาพได้อย่างเท่าเทียมกัน นอกจากนี้ ในทางสัญลักษณ์ จะเห็นได้ว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่มีความหลากหลายทั้งด้านเพศสภาพ เชื้อชาติ และสีผิว ซึ่งเป็นการแสดงออกว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ให้ความสำคัญกับประเด็นนี้อย่างจริงจัง
อย่างไรก็ตาม เส้นทางการดำเนินนโยบายเหล่านี้ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะถึงแม้ว่าพรรคเดโมแครตจะครองเสียงข้างมากทั้ง 2 สภา แต่การผลักดันนโยบายบางอย่างต้องอาศัยคะแนนเสียงข้างมากและเด็ดขาด หรือ Supermajority อย่างเช่น วงเงิน American Rescue Plan ที่จำเป็นต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากวุฒิสภาอย่างต่ำ 60 เสียง ทั้งนี้ เราเชื่อว่ามาตรการที่เกี่ยวกับการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจจะสามารถผ่านสภาได้ เพราะเป็นสิ่งที่ทั้ง 2 พรรคการเมืองให้ความสำคัญเหมือนกัน
อีกหนึ่งความเสี่ยงที่จะตามมาหลังจากเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ดีก็คือ “เงินเฟ้อ” ที่จะปรับเพิ่มขึ้น ในประเด็นนี้ เราประเมินว่าธนาคารกลางทั่วโลกจะยังไม่รีบขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย แม้ว่าเงินเฟ้อจะพุ่งขึ้นเกินกรอบเป้าหมายชั่วคราว สะท้อนจากที่ Fed เปลี่ยนเป้าหมายเงินเฟ้อมาใช้ค่าเฉลี่ยแทนการวัดเงินเฟ้อ ณ จุดเวลาหนึ่งๆ นั่นหมายถึง Fed จะยอมให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเกินเป้าหมายที่ 2% ได้ในช่วงเวลาหนึ่งโดยไม่รีบขึ้นดอกเบี้ยมาสกัด
ซึ่งในข้อเท็จจริงมีความเป็นไปได้ เนื่องจากกว่า 10 ปี ที่ผ่านมา เงินเฟ้อในเศรษฐกิจหลักล้วนต่ำกว่าเป้าหมาย เมื่อแรงอัดฉีดสภาพคล่องมหาศาลของรัฐเกิดประสิทธิภาพ ย่อมมีโอกาสที่เงินเฟ้อจะพุ่งขึ้นได้เพราะฐานเดิมต่ำมาก
นโยบายของรัฐบาลสหรัฐชุดใหม่ข้างต้น ประกอบกับความเสี่ยงที่ยังจัดการได้ จะหนุนให้เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวได้ดี เป็นผลบวกต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนโดยรวม ตลาดหุ้นมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นได้ต่ออย่างน้อยในช่วงครึ่งปีแรกของปี ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มจะได้รับประโยชน์มากคือ กลุ่มรักษ์โลกและความยั่งยืน เช่น พลังงานทางเลือก และธุรกิจจัดการสิ่งแวดล้อม ที่ได้อานิสงส์โดยตรงจากนโยบายของ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก