ตลาดกระทิงไม่มีคําว่าย่อให้ซื้อ เพราะตลาดหุ้นมีแต่ขึ้นกับขึ้น และในขณะเดียวกัน ตลาดหมีไม่มีคําว่าเด้งให้ขาย เพราะตลาดหุ้นมีแต่ลงกับลง
นักลงทุนรายย่อยมักคุ้นเคยกับตลาด Sideway หรือ Trendless จึงทําการซื้อเมื่อย่อตัวและขายเมื่อเด้งขึ้น แบบสั้นๆ เป็นรายชั่วโมง รายวันหรือรายสัปดาห์ เป็นต้น ผู้โพสต์มีความเห็นว่า ตลาด Sideway หรือ Trendless ไม่ควรเข้าไปลงทุน เพราะการเล่นสั้นมีโอกาสที่จะผิดพลาดสูง เผลอๆ กลายเป็นการเล่นการพนันไปเลย ผู้โพสต์เห็นว่าควรจะรอจนมีความชัดเจนว่าจะเป็นตลาดกระทิงหรือตลาดหมีจึงเข้าไปลงทุน
ยกตัวอย่าง เช่น สมมุตฺิว่า Set Index เป็นตลาดกระทิงโดยเริ่มจาก 1,561 จุดเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ปี พ.ศ 2560 แล้วขึ้นไปจนถึง 5,000 จุดในช่วงปลายปี 2563 เมื่อ Fed Fund Rate อยู่ที่ 3.75 - 4.00 % หลังจากนั้นก็เกิดฟองสบู่โลกแตกในปี พ.ศ 2564 เมื่อ Fed Fund Rate อยู่ที่ 4.00 - 4.25 % แล้วทําให้ Set Index ปรับตัวจาก 5,000 จุดลงมาถึง 2,000 จุด ภายใน 1 ปี
สิ่งที่ควรทําก็คือ :
1) Long Derivatives ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม ปี พ.ศ 2560 ที่ Set Index 1,561 จุด แล้วถือไปปิดสถานะ Long ในช่วงปลายปี 2563 ที่ Set Index 5,000 จุด ซึ่งในกรณีนี้ ผู้โพสต์ก็ได้ซื้อ Warrant และหรือ Derivative Warrant ของหุ้นรับเหมาก่อสร้างอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่าง ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม ปี พ.ศ 2560 แล้วถือไป เปลี่ยนเป็นถือหุ้นรับเหมาก่อสร้างรายตัวในช่วงกลางของตลาดกระทิงประมาณปลายปี พ.ศ 2562 เมื่อ Fed Fund Rate อยู่ในระดับ 3.25 - 3.50% แล้วขายหุ้นรับเหมาก่อสร้างรายตัวออกไปประมาณปลายปี พ.ศ 2563 ซึ่งถือว่าเป็นจุดสิ้นสุดของตลาดกระทิงรอบใหญ่รอบนี้
2) Short Derivatives ในปี พ.ศ 2564 เมื่อ Set Index ปรับตัวจาก 5,000 จุด ลงมายัง 2,000 จุด เนื่องจากฟองสบู่โลกแตก