ห้องเม่าปีกเหล็ก

ส่องแนวโน้มกำไร “ธนาคารของไทย”

โดย ก กา
เผยแพร่ :
387 views

ส่องแนวโน้มกำไร “ธนาคารของไทย”

ไตรมาส 1/66 ใครจะเติบโตโดดเด่น?

.

กลุ่มธนาคารเป็นหุ้นที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนตลอดกาล ด้วยแนวโน้มดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้นและภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ช่วยหนุนความต้องการสินเชื่อ รวมถึงความสามารถในการชำระหนี้ให้ปรับตัวดีขึ้น ทำให้หุ้นธนาคารถูกคาดการณ์ว่าจะมีผลประกอบการขยายตัวดีในปี 2566

.

และในโอกาสที่ผ่านพ้นไตรมาสแรกของปีนี้ไปแล้ว Wealthy Thai จึงมีคาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 1/66 ของ 7 หุ้นธนาคาร ได้แก่ SCB, KBAN, KTB, BBL, TTB, TISCO และ KKP มาฝาก มาดูกันว่าแต่ละธนาคารจะสร้างการเติบโตได้น่าประทับใจแค่ไหน และเกิดจากปัจจัยอะไรเข้ามาสนับสนุน

.

โดยนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ภาพรวมกำไรสุทธิของหุ้นกลุ่มธนาคารในไตรมาส 1/66 คาดจะอยู่ที่ 45,055 ล้านบาท โต 1.9% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน และฟื้นตัวเด่น 36.1% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีแรงหนุนหลักๆ จาก

.

1.การตั้งสำรองที่คาดผ่อนคลายลง เนื่องจากในไตรมาส 4/65 ธนาคารบางแห่งมีการตั้งสำรองที่เร่งตัวสูงกว่าปกติมาก เช่น KBANK ที่ตั้งสำรองเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 10 ปี รวมถึง KKP และ SCB ที่มีการตั้งสำรองในกรณีที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมซื้อขายหลักทรัพย์ที่ผิดปกติ

.

ขณะที่แนวโน้มการชำระเงินคืนของลูกหนี้ในช่วงไตรมาส 1/66 คาดยังอยู่ในเกณฑ์ดี และเริ่มเห็นผลบวกจากการท่องเที่ยวที่เร่งตัวขึ้นตั้งแต่เดือนก.พ. ทำให้คาดว่าจะไม่มีแรงกดดันให้เร่งตั้งสำรองเหมือนกับไตรมาส 4/65

.

2.ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานคาดลดลงจากไตรมาส 4/65 ตามผลของฤดูกาลและการบันทึกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับโครงการพัฒนา IT ต่างๆ จำนวนมากในไตรมาส 4/65

.

และ 3. คาดรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิปรับขึ้นดี แม้พอร์ตสินเชื่อโดยรวมจะชะลอตัวลงจากการชำระคืนหนี้ของลูกหนี้บริษัทขนาดใหญ่ในช่วงต้นปี แต่คาดว่าจะถูกชดเชยได้ด้วยส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่เร่งตัวขึ้น สอดรับกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ที่เร็วกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก

.

ส่องกำไรไตรมาส 1/66

ส่วนคาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 1/66 ของ 7 หุ้นธนาคาร มีรายละเอียดดังนี้ 1. SCB คาดจะมีกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 ที่ 10,072 ล้านบาท ทรงตัว 0.3% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 41% จากไตรมาสก่อนหน้า หลังผ่านพ้นการปรับโครงสร้างธุรกิจภายในกลุ่ม SCBX และค่าใช้จ่ายด้าน IT บวกกับรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่เร่งตัวขึ้นตาม NIM ที่ปรับขึ้นได้ดีจากธุรกิจ Consumer Finance ที่ขยายตัว

.

2.KBANK คาดมีกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 ที่ 9,275 ล้านบาท ลดลง 17.3% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ตามจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่ลดลง แต่เพิ่มขึ้น 190.7% จากไตรมาสก่อนหน้า หลังการตั้งสำรองผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และคาดรายได้ดอกเบี้ยรับจะปรับขึ้นได้ดี ตาม NIM ที่ สูงขึ้น

.

3.KTB คาดมีกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 ที่ 8,837 ล้านบาท ทรงตัว 0.7% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาสก่อนหน้า จากรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่เพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายที่ลดลงตามฤดูกาล ส่วนการตั้งสำรองคาดผ่อนคลายลงเช่นกัน

.

4.BBL คาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 ที่ 8,848 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.3% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ตามรายได้ดอกเบี้ยรับที่เร่งตัว ตามพอร์ตสินเชื่อต่างประเทศที่ขยายตัวได้ดี และ 16.9% จากไตรมาสก่อนหน้า หลังการตั้งสำรองผ่อนคลายลง และคาด NIM ปรับตัวสูงขึ้น

.

5.TTB คาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 ที่ 3,877 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.3% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน จากการตั้งสำรองที่ลดลง แต่ทรงตัว 0.8% จากไตรมาสก่อนหน้า ตาม NIM ที่ต่ำลง จากผลของต้นทุนเงินฝากและเงินนำส่ง FIDF ที่เพิ่มขึ้น

.

6.TISCO คาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 ที่ 1,913 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.3% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน และ 5.9% จากไตรมาสก่อนหน้า จากรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการตั้งสำรองและค่าใช้จ่ายที่ปรับตัวลดลง

.

และ 7. KKP คาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 ที่ 2,222 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.1% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ตามสินเชื่อที่ขยายตัวเด่น และ 55.4% จากไตรมาสก่อนหน้า ฟื้นตัวแรงจากฐานต่ำ และคาดการตั้งสำรองจะลดลงมาก ในขระที่รายได้ดอกเบี้ยยังโตต่อเนื่อง

.

ปี 66 กลุ่มแบงก์กำไรโต 20%

สำหรับแนวโน้มผลดำเนินงานปี 2566 ของหุ้นกลุ่มธนาคาร ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงมุมมองบวกต่อการฟื้นตัวของกำไรสุทธิ คาดจะมีแรงหนุนจากความต้องการสินเชื่อที่เริ่มเร่งตัวขึ้นในช่วงที่เหลือของปี สอดรับกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่กลับเข้าไทยมากขึ้น และเข้าสู่ช่วงเลือกตั้ง ซึ่งคาดจะช่วยให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศมากขึ้น

.

นอกจากนี้คาด NIM จะเร่งตัวขึ้นได้ดี แม้ต้นทุนดอกเบี้ยเงินฝากจะทยอยปรับขึ้น และมีต้นทุนเงินนำส่งกองทุน FIDF ที่กลับสู่ระดับปกติที่ 0.46% แต่คาดจะถูกชดเชยด้วยดอกเบี้ยเงินกู้ที่ขยับขึ้นได้เร็วกว่า ขณะที่การตั้งสำรองคาดผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว เพราะฐานะการเงินของลูกหนี้เริ่มมีการฟื้นตัว และหลายธนาคารได้เร่งตั้งสำรองจำนวนมากเพื่อรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ จนปัจจุบันระดับ Coverage Ratio แข็งแรงขึ้นมาก หนุนให้คาดว่าหุ้นกลุ่มธนาคารจะมีกำไรสุทธิรวมในปี 2566 จำนวน 199,887 ล้านบาท โต 20.9%จากปีก่อน

.

ส่วนกลยุทธ์ คงน้ำหนักลงทุน “มากกว่าตลาด” คาดเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและ Valuation ไม่แพง มองราคาหุ้นที่ปรับลงมาจาก Sentiment ลบของธนาคารในต่างประเทศ เป็นจังหวะสะสมที่ดี หุ้นแนะนำเลือก BBL เป็น Top Pick ของกลุ่ม จากผลดำเนินงานในไตรมาส 1/66 ที่คาดเติบโตดีทั้งจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า บวกกับคุณภาพของพอร์ตสินเชื่อที่แข็งแรงกว่าธนาคารอื่น นอกจากนี้ปัจจุบันยังซื้อขายด้วย PBV ต่ำ ให้ราคาเป้าหมาย 190 บาท

 

 


ก กา