วานนี้หุ้นบริษัท เอ.เจ.พลาสท์ จำกัด(มหาชน) หรือ AJ เคลื่อนไหวอย่างโดดเด่น ระหว่างการซื้อขายราคาชนซิลลิ่งที่ 12.90 บาท ทำนิวไฮในรอบกว่า 3 ปี ก่อนปิดการซื้อขายที่ 12.30 บาท พร้อมกับปริมาณหุ้นที่ซื้อขายเพิ่มขึ้นกว่า 1,600% จากที่เคยซื้อขายเฉลี่ยวันละ 2.7 ล้านหุ้น มาซื้อขายกว่า 44 ล้านหุ้น
แม้ว่าราคาหุ้นในกลุ่มบรรจุภัณฑ์วานนี้จะคึกคักยกแผง
....แต่เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าในส่วนของ AJ นั้น เกิดความผิดปกติ และดูจะไม่สอดคล้องกับพื้นฐานของบริษัท AJ ทำธุรกิจผลิตและจำหน่ายแผ่นฟิล์ม ได้แก่ แผ่นฟิล์ม BOPP BOPET BOPA (Nylon) CPP และ METALLIZED ซึ่งใช้แปรรูปเป็นบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน
เช่น ซองบรรจุอาหาร สิ่งของ เป็นต้น รวมทั้งใช้เคลือบกระดาษ ผิวไม้เฟอร์นิเจอร์ ฉนวนป้องกันความร้อนภายในอาคาร
ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา AJ เริ่มมีขาดทุนสุทธิตั้งแต่ปี 56 ราว 98 ล้านบาท ก่อนขาดทุนหนักในปี 57 ที่ 247 ล้านบาท ส่วนปี 58 พลิกมีกำไรเล็กน้อยที่ 3.79 ล้านบาท และงวด 9 เดือนปีนี้มีกำไรสุทธิ 17.04 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น และกำไรอัตราแลกเปลี่ยน
ข่าวที่จะเป็นผลบวกในเชิงพื้นฐานของ AJ มีเพียง 1 เรื่องคือเมื่อวันที่ 11 พ.ย. ที่ผ่านมา คณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติซื้อเครื่องจักรเพื่อผลิตแผ่นฟิล์มพลาสติก มูลค่า 800 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากการกู้ระยะยาวจากสถาบันการเงิน แต่ยังไม่มีรายละเอียดว่าจะสามารถเริ่มผลิตได้เมื่อไหร่ และจะเพิ่มกำลังการผลิตได้มากน้อยแค่ไหน
วานนี้ AJ เป็นหุ้นที่ติดมาตรการกำกับการซื้อขาย ระดับ 1 ตลาดหลักทรัพย์สั่งให้ซื้อขายในบัญชี Cash Balance ข้ามปีไปจนถึง 6 ม.ค. 60
ซึ่งบริษัทฯ ชี้แจงว่าไม่มีเหตุการณ์สำคัญ ที่จะส่งผลต่อราคาหุ้นในขณะนี้ ที่สำคัญราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นทำให้ P/E กระฉูดแตะ 510 เท่า
การพุ่งขึ้นของ AJ ในรอบนี้ จึงต้องนับว่าไม่น่าไว้วางใจ ทั้งจากพฤติกรรมในอดีต และราคาที่ไม่สอดคล้องกับพื้นฐาน ยิ่งหุ้นติด Cash Balance อาจทำให้วงแตก ใครที่หลงเข้าไปแล้ว คงต้องออกให้ทัน
ที่มา สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย