ขึ้นเครื่องหมาย C เพิ่มเป็น 38 หลักทรัพย์ ขาดทุนจากงบไตรมาส 2/2561- ไตรมาส 4/2561 เผยมี 4 บจ.ปลดจากเครื่องหมายแล้ว โบรกประเมินเป็นหุ้นขนาดเล็ก ไม่กระทบตลาด เตือนนักลงทุนเหตุเสี่ยงเพิ่มทุน
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ได้นำเกณฑ์การขึ้นเครื่องหมาย C (Caution) มาใช้กับบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่มีความเสี่ยงด้านฐานะการเงิน คือมีส่วนของผู้ถือหุ้นตํ่ากว่า 50% ของมูลค่าหุ้นที่ชำระแล้ว เพื่อเป็นเครื่องมือเตือนนักลงทุนให้เพิ่มความระมัดระวัง ศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน โดยประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2561 และมีหลักทรัพย์ที่ถูกขึ้นเครื่องหมาย C ในวันแรกจำนวน 24 หลักทรัพย์
แต่จนถึง ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2562 มีหลักทรัพย์ที่ถูกขึ้นเครื่องหมาย C เป็นจำนวน 38 หลักทรัพย์ (ตารางประกอบ) ส่วนใหญ่ที่เพิ่มมาจากการขาดทุนในงบการเงินไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปี 2561
ขณะที่มี 4 หลักทรัพย์ ปลดจากเครื่องหมาย C แล้ว เนื่องจากมีส่วนของผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 50% ของมูลค่าหุ้นที่ชำระ ได้แก่ 1. บริษัทเอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (บมจ.) (MPIC) 2. บมจ. อุตสาหกรรม อีเล็คโทรนิคส์ หรือ EIC 3. บมจ.จี เจ สตีล หรือ GJS และ 4. บมจ.อีเอ็มซี หรือ EMC
ทั้งนี้แนวทางแก้ไขของบจ. ไม่พ้นในเรื่องการเพิ่มทุน เพิ่มรายได้ของธุรกิจและลดต้นทุน เช่น กรณี MPIC แก้ไขโดยโอนทุนสำรองตามกฎหมายและส่วนเกินมูลค่าหุ้น (เพื่อชดเชยกับผลขาดทุนสะสมของบริษัท) และลดทุนจดทะเบียน จากมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาทเป็น 0.50 บาท ทำให้ สิ้นงบไตรมาส 1/2562 บริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มเป็น 77% ของมูลค่าหุ้นที่ชำระแล้ว, EIC ปรับโครงสร้างการเงินโดยการ ลดทุนจดทะเบียน ขายหุ้นเพิ่มทุนใหม่ รวมทั้งเพิ่มความสามารถในการทำกำไร ด้วยการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ที่มีศักยภาพ
ล่าสุดกรณีของ PACE นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เพซดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น หรือ PACE แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า แนวทางในการแก้ไข ส่วนของผู้ถือหุ้นที่มีค่าน้อยกว่า 50% ของทุนชำระแล้วของบริษัทจะมาจาก การปรับโครงสร้างทางการเงิน โดยคณะกรรมการที่ประชุมเมื่อ 27 พฤษภาคมทีี่ผ่านมา มีมติเห็นชอบอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียน โดยการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 8,025,793,914 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น ในอัตรา 3 หุ้นสามัญต่อ 2 หุ้นสามัญเพิ่มทุน ราคาเสนอขายหุ้นละ 0.25 บาท 2. มาจากการดำเนินงานของบริษัท ลดการขาดทุนสะสม จากธุรกิจหลักได้แก่อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น
ขอบคุณที่มา :