ปลุกพลังเศรษฐกิจไทย: อะไรคือเครื่องยนต์ขับเคลื่อน?
ครึ่งแรกปี 2568 เศรษฐกิจไทยยัง “โตแต่ฝืด” ขยายตัวเพียง 2.8% ทั้ง Q1 และ Q2 แม้ไม่ถดถอย แต่ก็ยังติดกับดัก “โตต่ำ–เปราะบาง”

เครื่องยนต์เก่าที่เริ่มอ่อนแรง
การส่งออก: ตัวขับเคลื่อนหลัก แม้เครื่องยนต์จะเก่าแต่ยังจำเป็น
ไทยยังพึ่งพาการส่งออกกว่า 60% ของ GDP สินค้าหลักอย่างยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และเกษตรยังเป็นเสาหลัก แต่กำลังถูกท้าทายจาก กำแพงภาษีสหรัฐฯ มาตรการกีดกันทางการค้า (NTBs) และกฎด้านสิ่งแวดล้อมของยุโรป หากไม่เร่งปรับตัวด้วยเทคโนโลยีและมาตรฐานสีเขียว ไทยอาจสูญเสียความได้เปรียบที่เคยมี
การท่องเที่ยว: ฟื้น แต่ไม่เต็ม
ครึ่งแรกมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเกือบ 18 ล้านคน แต่รายได้ต่อหัวลดลง โดยเฉพาะตลาดจีนที่ยังไม่ฟื้นเต็ม การท่องเที่ยวจึงไม่สามารถพึ่งพาแค่ “จำนวนคน” อีกต่อไป หากไทยไม่ยกระดับไปสู่ Wellness, Medical Tourism, MICE และท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม รายได้รวมก็จะไม่เติบโตตามคาด
การบริโภคในประเทศ: เครื่องยนต์ที่ถูกถ่วงด้วยหนี้
แม้ดิจิทัลวอลเล็ตและการพักหนี้เกษตรจะช่วยพยุงได้บ้าง แต่หนี้ครัวเรือนที่สูงเกือบ 90% ของ GDP กำลังถ่วงรากฐานการบริโภค ครัวเรือนไทยจำนวนมากต้องกันรายได้ไปจ่ายดอกเบี้ยและหนี้ ทำให้กำลังซื้อลดลงต่อเนื่อง หากไม่จัดการเรื่องหนี้และเพิ่มผลิตภาพแรงงาน เครื่องยนต์นี้จะยังไม่ติดไฟ
การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน: รัฐชะลอ เอกชนรอความชัดเจน
รถไฟความเร็วสูง การพัฒนา EEC สนามบิน และระบบโลจิสติกส์คือ “เส้นเลือดใหม่” ของเศรษฐกิจ แต่การเบิกจ่ายงบลงทุนยังล่าช้าเพราะการเมือง และเอกชนเองก็กำลัง “รอดูท่าที” หากชะลอต่อไป ไทยอาจเสียโอกาสในการดึงดูดฐานการผลิตที่กำลังเคลื่อนย้ายจากจีน
การเงินและการคลัง: ผ่อนคลาย แต่ยังไม่พอ
ธปท. ลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง เหลือ 1.5% เพื่อพยุงเศรษฐกิจ แต่ก็ยังไม่แรงพอ ขณะที่รัฐบาลยังใช้มาตรการสั้น ๆ เช่น ดิจิทัลวอลเล็ตและพักหนี้เกษตร แต่ผลต่อเศรษฐกิจจริงยังจำกัด เครื่องยนต์การเงินและการคลังจึงเป็นเหมือน “น้ำมันหยดเพิ่ม” ที่ช่วยประคอง แต่ยังไม่ใช่เชื้อเพลิงหลักที่จะเร่งการเติบโตระยะยาว
เครื่องยนต์ใหม่ที่เริ่มติดเครื่อง
แม้เศรษฐกิจไทยครึ่งแรกปี 2568 จะยังโตต่ำ แต่การมองไปข้างหน้าต้องถามให้ชัดว่า “เครื่องยนต์ไหนยังขับเคลื่อนประเทศได้จริง?”
เศรษฐกิจดิจิทัลและเทคโนโลยี
การเติบโตของ E-commerce, Fintech และบริการออนไลน์ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ขณะเดียวกัน AI และ Automation กำลังแทรกซึมในโรงงานและภาคบริการ เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน ธุรกิจใหม่อย่าง EV แบตเตอรี่ และ BCG Economy กำลังสร้างฐานเศรษฐกิจใหม่ แต่ยังต้องการกฎเกณฑ์และโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อให้โตจริง
การส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร
ไทยยังคงเป็น “ครัวโลก” โดยเฉพาะอาหารสุขภาพ อาหารพร้อมทาน และโปรตีนทางเลือก การใช้ Smart Farming และ Precision Agriculture ไม่เพียงเพิ่มผลผลิต แต่ยังยกระดับคุณภาพ สร้างมูลค่าเพิ่มในตลาดโลก
การท่องเที่ยวคุณภาพและสุขภาพ
จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ฟื้นแล้ว โอกาสต่อไปคือ คุณภาพ ไทยเริ่มชู Medical Tourism, Wellness Retreats และการพัฒนาเมืองท่องเที่ยวเป็น Smart City เพื่อตอบโจทย์นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่ต้องการประสบการณ์มากกว่าการเดินทาง
การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่
ไม่ใช่แค่สร้างรถไฟหรือสนามบิน แต่คือการสร้าง “ระบบนิเวศเศรษฐกิจใหม่” เช่น Digital Infrastructure, Logistics Hub และ Green Port ที่เชื่อมโยงภูมิภาคและดึงดูดทุนต่างชาติ
พลังงานสะอาดและเศรษฐกิจสีเขียว
ไทยกำลังลงทุนในโซลาร์ วินด์ฟาร์ม และโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ BCG Economy กำลังกลายเป็นแบรนด์ใหม่ของประเทศไทยในสายตานักลงทุนต่างชาติ เครื่องยนต์นี้ไม่เพียงสร้างการเติบโต แต่ยังช่วยลดคาร์บอนและเพิ่มความยั่งยืน
บทสรุป
เศรษฐกิจไทยปี 2568 ยังขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เก่า แต่เต็มไปด้วยแรงเสียดทาน เครื่องยนต์ใหม่อย่าง ดิจิทัล เกษตรอัจฉริยะ พลังงานสะอาด เริ่มติดเครื่อง แต่ยังไม่แรงพอจะลากทั้งประเทศไปข้างหน้า
อนาคตไทยจึงไม่ได้ขึ้นกับว่า “เราซ่อมเครื่องเก่าได้แค่ไหน” แต่ขึ้นกับว่า “เราจะเร่งเครื่องใหม่ได้เร็วพอหรือไม่”
เพราะโลก…ไม่เคยหยุดรอใคร
เรื่องและภาพ: ชนิยา ชัยพฤกษ์ Economist, Bnomics
════════════════
ที่มา.Bnomics by Bangkok Bank