ห้องเม่าปีกเหล็ก

ทุ่ม1.5หมื่นล้าน PTTEPรื้อบงกช

โดย dave
เผยแพร่ :
66 views

ทุ่ม1.5หมื่นล้าน PTTEPรื้อบงกช

 

ปตท.สผ.อัดงบ 1.5 หมื่นล้าน สร้างแท่นผลิตปิโตรเลียมแหล่งเอราวัณและบงกช รับช่วงรอยต่อแล้ว พร้อมใส่เงินรื้อถอนแท่นแหล่งบงกชอีก 1.5 หมื่นล้าน ในปี 2566 ส่วนวางหลักประกันค่ารื้อถอนแท่น รัฐเปิดทางไม่ต้องจ่ายเต็มจำนวน 1 แสนล้าน


บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP (ปตท.สผ.) ได้จัดทำแผน เผยการลงทุน 5 ปี (ปี 2563-2567) เพื่อสร้างความต่อเนื่องในการผลิตปิโตรเลียมจากโครงการที่ประมูลได้ รวมทั้งโครงการที่ได้เข้าซื้อกิจการที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มระดับการผลิตปิโตรเลียมและการเติบโตในอนาคตไว้ราว 7.16 แสนล้านบาท โดยในปี 2563 ได้จัดสรรการลงทุนไว้ประมาณ 1.43 แสนล้านบาท เป็นในส่วนของการรักษาปริมาณการผลิตปิโตรเลียม จากโครงการผลิตหลักที่สำคัญ ประมาณ 1,941 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 6 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ ที่น่าสนใจในงบ 5 ปี ดังกล่าว ปตท.สผ.ได้จัดสรรงบไว้ราว 1.55-1.86 หมื่นล้านบาท ตามสัดส่วนการถือหุ้น สำหรับการรื้อถอนแท่นผลิตปิโตรเลียมของแหล่งบงกช ที่จะสิ้นสุดสัมปทานปิโตรเลียมในปี 2566 เป็นต้นไป รวมทั้งได้จัดสรรงบราว 1.5 หมื่นล้านบาท สำหรับการติดตั้งแท่นผลิตปิโตรเลียมในแหล่งเอราวัณ 8 แท่น และแหล่งบงกชอีก 4 แท่น รวมเป็น 12 แท่น รวมทั้งได้ออกหนังสือชี้ชวน เพื่อให้ผู้สนใจเข้ามารับงานก่อสร้างแท่นผลิตอีก 6 แท่น ที่จะเปิดประมูลในปีหน้า และการประมูลขุดเจาะหลุมผลิตในปีหน้าอีกส่วนหนึ่งด้วย

นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ
ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้รับการอนุมัติแผนการพัฒนาปิโตรเลียมในแหล่งเอราวัณ และบงกช จากกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติแล้ว เพื่อเตรียม
เข้าพื้นที่ และการเตรียมติดตั้งแท่นผลิตในแหล่งเอราวัณในปี 2564 และแหล่งบงกชในปี 2565 เพื่อให้กำลังการผลิตปิโตรเลียมทั้ง 2 แหล่งเกิดความต่อเนื่อง ถือเป็นการเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้า เนื่องจากการก่อสร้างแท่นต้องใช้ระยะเวลาไม่ตํ่ากว่า 8 เดือน

 

 

 
 

ขณะที่การเข้าพื้นที่เพื่อดำเนินงานในแหล่งเอราวัณ หลังจากประมูลชนะบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด มานั้น ได้มีการตั้งทีมงานช่วงเปลี่ยนผ่านขึ้นมา เพื่อเตรียมเข้าพื้นที่ และการจัดสรรเงินดำเนินงานไว้แล้ว 500-600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งการดำเนินงานสัมปทานในรูปของระบบแบ่งปันผลผลิต (พีเอสซี) ภาครัฐเข้ามามีส่วนร่วม จะต้องรายงานแผนการลงทุนให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติทราบและอนุมัติแผนการดำเนินงานทุกขั้นตอน

ส่วนการรื้อถอนแท่นผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทยของแหล่งบงกช ได้จัดสรรงบอยู่ในแผน 5 ปีแล้ว 500-600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1.55-1.86 หมื่นล้านบาท ตามสัดส่วนการถือหุ้น 66.66% และส่วนที่เหลือ
เป็นของบริษัท โททาล อี แอนด์ พี ไทยแลนด์ฯ 33.33% ซึ่งจะสิ้นสุดสัมปทานปิโตรเลียมในปี 2566 และต้องทำการรื้อถอนในส่วนที่ภาครัฐไม่เก็บไว้ใช้
งานต่อ โดยงบดังกล่าวจะเริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป

สำหรับการวางเงินหลักประกันค่ารื้อถอนที่ต้องวางเต็มจำนวนแท่นผลิตปิโตรเลียมที่มีอยู่นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ซึ่งยังไม่ได้ข้อยุติแต่อย่างใด

 

แหล่งข่าวจากวงการขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียม เปิดเผยว่า หลังจากที่กระทรวงพลังงาน ได้เปิดให้ผู้รับสัมปทานในแหล่งเอราวัณและบงกช เจรจาในการวางหลักประกันค่ารื้อถอนแท่นผลิตปิโตรเลียมที่มีอยู่กว่า 300 แท่น ในอ่าวไทยใหม่ ซึ่งมีปลัดกระทรวงพลังงานเป็นหัวหน้าทีมเจรจา จากเดิมที่ต้องให้วางเต็มจำนวนแท่น คิดเป็นมูลค่าเกือบ 1 แสนล้านบาท สร้างความไม่พอใจให้กับผู้รับสัมปทานทั้ง 2 แหล่ง จนเกือบจะนำไปสู่การฟ้องร้องอนุญาโตตุลาการ เนื่องจากเห็นว่าไม่มีความเป็นธรรม เพราะภาครัฐเก็บแท่นไว้จำนวนหนึ่ง เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อ จึงไม่ใช่หน้าที่จะต้องมารับผิดชอบในการรื้อแท่นทั้งหมด

ทั้งนี้ จากการเจรจาในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา จำนวน 8 ครั้ง ถือว่ามีความคืบหน้าระดับหนึ่งเท่านั้น โดยภาครัฐยอมที่จะเปิดช่องให้ไม่ต้อง
วางหลักประกันค่ารื้อถอนเต็มจำนวนแล้ว แต่เนื่องจากมีรายละเอียดจำนวนมาก โดยเฉพาะภาครัฐยังไม่สามารถระบุจำนวนแท่นที่จะเก็บไว้ว่าจะมี
กี่แท่นได้ ซึ่งมีผลต่อการวางหลักประกันการรื้อถอน จึงส่งผลให้การเจรจายังไม่ได้ข้อยุติ 

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


dave