ห้องเม่าปีกเหล็ก

ความเคลื่อนไหวเงินทุนต่างชาติ เมื่อ DTAC ถูกไล่ซื้อมากที่สุด

โดย poomai
เผยแพร่ :
50 views

ความเคลื่อนไหวเงินทุนต่างชาติ เมื่อ DTAC ถูกไล่ซื้อมากที่สุด

ปัจจุบันแม้ว่าแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) เริ่มแผ่วลง หลังค่าเงินบาทอ่อนค่าลง แต่ฟันด์โฟลว์ก็ยังอยู่ในขาที่ไหลเข้าต่อเนื่อง โดยปัจจัยหลักเป็นเม็ดเงินที่ไหลเข้า “ตลาดหุ้นเกิดใหม่” รวมถึงประเทศไทยเองด้วย แม้จะเข้าไหลไม่มาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ อย่างอินโดนีเซียหรือฟิลิปปินส์ อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชีย พลัส จำกัด ประเมินว่า หุ้นที่คาดว่าเป็นเป้าหมาย Fund Flow ไหลเข้า ได้แก่ SCC, BGRIM KBANK และ TISCO 

ถ้าดูจากเม็ดเงินการถือครองของนักลงทุนต่างชาติ (Foreign Ownership) ที่นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อ-ขายเป็นรายตัว ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา (10 พ.ย.-9 ธ.ค.63) บทวิเคราะห์ บล.กรุงศรี จำกัด (มหาชน) รายงานว่า หุ้นที่นักลงทุนต่างชาติ “ซื้อ” มากที่สุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย 1. DTAC คิดเป็นมูลค่า 2,967.5 ล้านบาท 2.TISCO คิดเป็นมูลค่า 1,221.2 ล้านบาท 3. BGRIM คิดเป็นมูลค่า 809.5 ล้านบาท 4.KCE คิดเป็นมูลค่า 437.4 ล้านบาท และ 5.HANA คิดเป็นมูลค่า 433.3 ล้านบาท

ส่วนหุ้นที่ต่างชาติ “ขาย” มากที่สุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย 1.IRPC คิดเป็นมูลค่า 1,260.6 ล้านบาท  2.TMB คิดเป็นมูลค่า 1,200.7 ล้านบาท 3.AOT คิดเป็นมูลค่า 997.9 ล้านบาท 4.PTTGC คิดเป็นมูลค่า 884.3 ล้านบาท และ 5.CPALL คิดเป็นมูลค่า 656.4 ล้านบาท

 

 

DTAC มีอัพไซต์-5G หนุนการเติบโตระยะยาว

สำหรับหุ้น DTAC ที่แซงหุ้นใหญ่หลายตัว ขึ้นมาหุ้นท็อปเบอร์หนึ่งที่ต่างชาติเข้าซื้อมากที่สุดนั้น นักวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส จำกัด ให้เหตุผลว่า ถ้าดูความเคลื่อนไหว DTAC ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) จะพบว่า ราคาหุ้น DTAC ปรับลดลงประมาณ 37% ประกอบกับช่วงที่ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าตลาดหุ้นไทย DTAC ยังมีอัพไซต์ประมาณ 20% บวกกับตัวหุ้นมี “ปัจจัยระยะยาว” จากการเติบโตของเทคโนโลยี 5G จึงทำให้เป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติ

 

 

TISCO รอรับเศรษฐกิจฟื้น

ส่วน TISCO นักวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส จำกัด มองว่า เมื่อแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะกลาง-ยาว เริ่มมีสัญญาณบวกมากขึ้น โดยเริ่มเห็นเครื่องยนต์ต่างๆ กลับมาทำงานได้มากขึ้น ทั้งจากมาตรการกระตุ้นภาคครัวเรือน และแรงส่งจากการลงทุนภาครัฐ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว (สัดส่วนราว 20% ของ GDP และมีการจ้างงานราว 8 ล้านตำแหน่ง) ประเมินเริ่มเห็นการฟื้นตัวช่วงครึ่งปีหลัง 2564 ภายหลังวัคซีน COVID-19 เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะไตรมาส 4/64 - ไตรมาส 1/65 ที่เป็น High Season ภาพดังกล่าวเชื่อหนุนรายได้ครัเรือนเพิ่มขึ้น รวมถึงช่วยลดอัตราว่างงาน เป็นบวกต่อคุณภาพสินทรัพย์กลุ่มสินเชื่อรายย่อยของ TISCO (สัดส่วนราว 80% ของพอร์ตสินเชื่อ)


ในระหว่างรอรายได้ครัวเรือนฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง 2564 คุณภาพสินทรัพย์ยังเป็นปัจจัยสำคัญ โดยฝ่ายวิจัยมอง TISCO เป็นธนาคารที่ปลอดภัยกว่ากลุ่มฯ พิจารณาจากการตั้งสำรอง (ECL) สูงในช่วง 9 เดือนแรก 2563 หนุน Coverage Ratio สูงสุดในกลุ่มฯ 196% (VS กลุ่มฯ150.5%) ประกอบกับสัดส่วนลูกหนี้เข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ตามแนวทางทั่วไปของ ธปท. ประมาณ 1% ของพอร์ตสินเชื่อธนาคารฯ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ ที่ประมาณ 24% ของสินเชื่อกลุ่มฯ ซึ่งทั้งหมดเป็นลูกหนี้รายย่อยและพักชำระเฉพาะเงินต้น สอดคล้องกับรายการดอกเบี้ยค้างรับ ณ สิ้นงวดไตรมาส 3/63 เพิ่มจากสิ้นงวดก่อนเพียง 9% ต่ำกว่า KKP เพิ่ม 40% และกลุ่มฯ เพิ่ม 43% จากสิ้นงวดก่อน

 

 

IRPC ยังไม่ฟื้น!!!!!

ข้ามมาที่หุ้นที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิมากที่สุดกันบ้าง สำหรับหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิมากที่สุดอย่าง IRPC นั้น นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์เอเชีย เวลท์ จำกัด ประเมินว่า แม้แนวโน้มผลประกอบการจากการดำเนินงานปกติจะเริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป รวมทั้งบริษัทมีแผนการปรับลดต้นทุนในการดำเนินงาน แต่เราเชื่อว่าแนวโน้มผลประกอบการจากการดำเนินงานปกติยังคงขาดทุน โดยปัจจัยลบยังคงอยู่ที่สถานการณ์ความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดของโควิด-19 แม้จะมีความคืบหน้าเกี่ยวกับการพัฒนาวัคซีน Covid-19 แต่เราเชื่อว่ากว่าสถานการณ์จะกลับมาปกติน่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2564 ทำให้เราคาดว่าผลประกอบการปี 2564 บริษัทจะยังขาดทุน 1,512 ล้านบาท ลดลงจากปี 2563


ขณะที่ TMB  นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า แม้กำไร 9 เดือนแรก 2563 จะคิดเป็น 88% ของประมาณการกำไรทั้งปี แต่เชื่อว่าการตั้งสำรองในไตรมาส 4/63 ยังคงสูงอยู่ เพื่อสะท้อนความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ รวมถึง NPL ที่มีโอกาสสูงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จึงยังคาด TMB จะมีกำไรปี 63 ที่ 10,000 ล้านบาท โตขึ้น 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (YoY) ทั้งนี้กำไรที่เพิ่มขึ้นมากเป็นผลจากการควบรวมกับ TBANK แต่อย่างไรก็ดีภาวะวิกฤติโควิด-19 ยิ่งตอกย้ำว่า 1+1 < 2 อย่างแน่นอน คงไม่สามารถคาดหวังการเติบโตได้สูงภายในปีนี้อย่างที่คาดหวังไว้ก่อนหน้า

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


poomai