ห้างสรรพสินค้าวอลมาร์ท เป็นห้างที่มีชื่อเสียงระดับโลกและมักจะถูกอ้างเป็นตัวอย่างบ่อยๆว่าเป็นหุ้นที่วอเร็น บัฟเฟตต์ตีแตกและถือมันมาอย่างยาวนาน บัฟเฟตต์ถือหุ้นวอลมาร์ทก็คงไม่ต่างอะไรกับที่ ดร.นิเวศน์ถือหุ้น CPALL มากนัก เพราะอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน ค้าปลีกเหมือนกัน ตีแตกเหมือนกัน และถือมาอย่างยาวนานจนปันผลของบริษัทสามารถเลี้ยงชีพได้อย่างสุขสบาย
เมื่อไม่นานมานี้เทพพยากรณ์แห่งโอมาฮ่าได้ประกาศขายหุ้นวอล์มาร์ทออกไปจากพอร์ตและซื้อหุ้น e-commerce ยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon เข้ามาแทน บัฟเฟตต์คิดอะไรอยู่ ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจมาก ..
เกิดอะไรขึ้น ... ?
- ห้างสรรพสินค้าวอล์มาร์ทถือว่าเป็นยักษ์ใหญ่ของอเมริกา แต่กลับกลายเป็นว่ายอดขายกลับสู้ค้าปลีกออนไลน์อยางอเมซอลไม่ได้ และนี้เป็นปัญหาการเติบโตในอนาคต
เมื่อไตรมาส 3/59 ที่ผ่านมา วอล์มาร์ทประกาศยอดขายเติบโตขึ้นเพียง 0.5% เท่านั้นเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 3/58 ถือว่าประสบปัญหาอย่างหนักกับการเติบโตที่ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด และนักวิเคราะห์วอล์สตรีทก็วิเคราะห์กันว่านับจากนี้ห้างสรรสินค้าวอล์มาร์ทอาจจะไม่เติบโตไปแล้ว จุดสูงสุดของธุรกิจได้ผ่านพ้นไปแล้ว ในขณะเดียวกันยอดขายของค้าปลีกออนไลน์ยักษ์ใหญ่อย่างอเมซอลประกาศยอดขายที่เพิ่มสูงถึง 29% มันเกิดอะไรขึ้นกับเทรนของโลกใบนี้
จากรายงานของโบรคเกอร์ชื่อดังรายงานว่าถึงแม้บริษัทห้างค้าปลีก ห้างสรรพสินค้าไม่ได้รายงานผลประกอบการขาดทุน แต่เติบโตน้อยลงมากอยู่ที่ 0.9% ในขณะที่บริษัทค้าปลีกผ่านอินเตอร์เน็ต หรือ e-commerce กลับมีการเติบโตที่น่าประทับใจโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 15.7% ซึ่งนั้นหมายความว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เน้นการช๊อปปิ้งออนไลน์เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น
โมเดลธุรกิจอย่าง Amazon เริ่มมีความน่าสนใจมากขึ้นและถูกพูดถึงในหมู่คนรุ่นใหม่ว่าเป็นต้นแบบโมเดลธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในโลกธุรกิจยุคใหม่ มันถูกบรรจุลงไปในแบบเรียนให้นักศึกษามหาวิทยาลัยได้ศึกษาไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจัดการสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพ ไม่จำเป็นต้องเก็บสินค้าหรือกักตุนสินค้า และความหยืดหยุ่นในการทำการตลาดก็ดูดีกว่ามาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการออกคูปองอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเป็นส่วนลดหรือใช้จ่ายผ่าน E-payment ก็สามารถประหยัดได้มากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคเห็นว่าการพกเงินสดเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก รายงานทางการเงินของ Amazon ที่ผ่านมามีประสิทธิภาพมาก ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหายโตขึ้นเพียง 1% ในขณะที่กำไรขั้นต้นสูงถึง 10% ซึ่งดีกว่าห้างค้าปลีกดั้งเดิมอย่างวอล์มาร์ทมาก
และนั้นก็อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้วอเร็น บัฟเฟตต์เริ่มที่จะสนใจ Amazon มากขึ้นและกังวลเกี่ยวกับการพัฒนาการของวอล์มาร์ทที่ดูเหมือนว่าจะแย่ลง
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา บัฟเฟตต์ได้กล่าวชื่นชนผู้ก่อตั้งและ CEO ของ amazon อย่างเจฟฟ์ เบซอส ว่าเป็นบุคคลอัจฉริยะ ในงานประชุมผู้ถือหุ้นของเบิร์กไซด์ฮาธาเวย์
ในอดีต บัฟเฟตต์มีความเชื่อว่าการเพิ่มขึ้นของการใช้อินเตอร์เน็ต จะทำให้ยอดขายไม่ว่าจะเป็น e-commerce หรือแม้แต่ห้างค้าปลีกดั้งเดิมที่เริ่มปรับตัวมาเป็นขายออนไลน์เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นบริษัทที่มีกำแพงคูเมืองแน่นหนาอย่างวอล์มาร์ท ก็ต้องดีตามไปด้วยแต่คูเมืองนั้นกลับกลายเป็นคูเมืองที่ขังบัฟเฟตต์ซะเองแทนที่จะเป็นป้อมปราการไม่ให้คู่แข่งเข้ามาตีได้ง่าย
ถึงแม้ว่าการลงทุน Amazon ของบัฟเฟตต์ จะไม่ได้ผลตอบแทนที่ดีเท่ากับวอล์มาร์ท แต่ภายใต้การนำของเบซอส ในอนาคตมันจะต้องดีกว่านี้แน่อน ในปัจจุบัน Amazon มียอดขายสูงถึง 1.2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา หุ้น Amazon สร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนสูงถึง 34% โดยเฉลี่ยซึ่งสูงกว่าในกลุ่มเดียวกันถึง 12.9% และมากกว่าวอล์มาร์ทถึง 3.2% ต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นผลตอบแทนระดับพรีเมียมคลาสเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า เจฟฟ์ เบซอสยังคงมุ่งมั่งอยู่กับการบริหารงานใน Amazon ต่อไปยังไม่มีแผนที่จะเกษียณตัวเองถึงแม้ว่าเขาจะติด 1 ใน 10 บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก และช่องว่าของการเติบโตยังสูงอยู่ซึ่งยอดขายของ Amazon เป็นเพียงแค่ 10% ของยอดค้าปลีกทั้งหมด มันดูเหมือนว่าคูเมืองแห่งความได้เปรียบจะย้ายออกจากวอล์มาร์ทและสร้างให้กับ Amazon แทน และคูเมืองนี้น่าจะมีคามหนาและลึกมากกว่าวอล์มาร์ทเป็นไหนๆ
ในปีนี้ มีรายงานจากทางตลาดหลักทรัพย์ว่า การขายหุ้นวอล์มาร์ทของบัฟเฟตต์มีแค่ 10 ล้านหุ้นเท่านั้น และยังมีติดพอร์ตอยู่ประมาณ 12.9 ล้านหุ้น ในปีนี้หุ้นวอล์มาร์ทขึ้นไปประมาณ 19% จากเมื่อต้นปีซึ่งถือว่าเป็นโอกาสที่จะขายทำกำไรที่จุดสูงอย่างงดงาม
-----------------------
ที่มา : foxbusiness.com
ผู้เรียบเรียง & สรุป : SiTh LoRd PaCk