กูรู ชี้ `Sell in May` มาแน่ หลังเฟดจ่อขึ้นดบ.-ลดงบดุล ดันเงินไหลออก

โบรกเกอร์ เห็นพ้อง ปีนี้ "Sell in May" มาแน่ และเกิดเร็วขึ้น จากหลายปัจจัยเสี่ยงกดดัน ทั้งเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ยในเดือนพ.ค.และลดขนาดงบดุล การปรับลดประมาณกำไรบจ. พร้อมจับตาเงินไหลออก ฉุดแรงขายจะหนักแค่ไหน รอติดตามปลายเม.ย.นี้ พร้อมแนะจุดซื้อที่ 1,600 จุด
.
*** ASPS มองมีโอกาสเกิด Sell in May หลายปัจจัยกดดัน
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส (ASPS) กล่าวว่า ปรากฏการณ์ Sell in May ในปีนี้ดูยาก แต่เริ่มเห็นตลาดไม่ค่อยดี ปัจจัยแวดล้อม การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งสูง รวมทั้งธนาคารกลางประเทศอื่น ๆ ด้วย เพราะฉะนั้นดอกเบี้ยคงขึ้นในอัตราเร่งซึ่งไม่ค่อยดีต่อตลาด การลดขนาด Balance Sheet ของเฟด เป็นปัจจัยเชิงลบต่อตลาด
.
ส่วนในประเทศโควิดแม้จำนวนผู้ติดเชื้อไม่สูงขึ้นมาก แต่มีความกังวลจำนวนผู้เสียชีวิตสูงขึ้น อาจเป็นสัญญาณสำคัญที่ทำให้แผนการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิดอาจล่าช้าได้ ยังกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ซึ่งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคก็ลดลง มีสิ่งเดียวที่จะเป็นปัจจัยบวก คือผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 1/65 แต่มีปัจจัยลบหลายเรื่อง เพราะฉะนั้นมองว่ามีโอกาสเกิด Sell in May ด้วยสภาพแวดล้อมสร้างแรงกดดันหลายเรื่อง น้ำหนักค่อนข้างเกิดมีมากกว่า ส่วนจะเห็นแรงขายต่างชาติหนักแค่ไหน บอกไม่ได้ เพราะมีหลายเรื่องกดดันอยู่
.
*** บล.ยูโอบีฯ ชี้เกิด Sell in May เร็วขึ้น แนะจุดซื้อ 1,600 จุด ต้นๆ
นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า Sell in May เกิดแน่ แต่อาจเกิดเร็วกว่า พ.ค.จากความเสี่ยงรัสเซีย ยูเครน ทำให้กระทบแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจ และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ทำให้มีการปรับประมาณการกำไรอีก
.
ดังนั้นหลังการรายงานผลประกอบการไตรมาส 1/65 อาจเห็นการปรับลดเป้าหมาย เป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะกระทบตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงหุ้นไทยด้วย ทำให้ภาพรวมไตรมาส 2/65 อัพไซด์จำกัด จากหลายปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การปรับลดการเติบโตทางเศรษฐกิจ การปรับลดประมาณการกำไรบจ. ที่ได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น นโยบายทางการเงินของสหรัฐฯตึงตัว การขึ้นดอกเบี้ยในอัตราเร่งของเฟด ที่จะกระทบต่อบรรยากาศลงทุน และต้นทุนทางการเงินของบจ.ต่างๆ และการเริ่มลดขนาดงบดุลของเฟด ที่จะกระทบต่อสภาพคล่องในการลงทุน ทำให้มองว่าปีนี้จะเกิด Sell in May เร็วขึ้น
.
คำแนะนำ ซื้อขายเก็งกำไรเพื่อรอจุดซื้อที่ดี โดยประเมินโอกาสเข้าซื้อจะเกิดขึ้นในระดับ 1,600 จุด ต้นๆ
"โอกาสเกิด Sell in May เกิดแน่ เม.ย.-พ.ค. ปัจจัยหลักนโยบายเฟดตึงตัวมากขึ้น เพราะจะมีการขึ้นดอกเบี้ยต้นเดือนพ.ค.มีเรื่องลดงบดุลที่จะเกิดขึ้น โดยรวมมีผลกระทบต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง"
.
*** บล.ฟินันเซียฯ คาด Sell in May เริ่มปลายเม.ย.
นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า มีโอกาสเป็นไปได้เพราะภาพรวมการลงทุน ปัจจัยต่างประเทศไม่เอื้อ เดือนพ.ค.เฟดประชุมลดงบดุล มีโอกาสที่จะเกิดเร็วตั้งแต่ช่วงปลายเม.ย.ขึ้นอยู่กับว่าปลายเม.ย.ดัชนีจะปรับลงแรงแค่ไหน ถ้าเม.ย.ลงแรง เดือนพ.ค.ก็จะไม่ลงแรงมาก ประกอบกับดัชนีแถว 1,700 จุด valuation ไม่ได้ถูก เชื่อว่า 1-2 เดือนนี้ ดัชนีจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,650 ถึง 1,600 จุด
.
*** บล.เมย์แบงก์ ไม่ให้น้ำหนักมาก ตลาดตอบรับเชิงลบไปแล้ว
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า โดยส่วนตัวไม่ค่อยให้น้ำหนัก Sell in May ในเดือนพ.ค.มากนัก เพราะต้นพ.ค.การประชุมเฟด ตลาดค่อยๆ ตอบรับเชิงลบไปแล้ว จากที่ส่งสัญญาณอัตราดอกเบี้ยจะปรับขึ้น 0.50% เห็นจากดัชนีที่ 1,700 จุด ลงสู่ 1,600 จุด กลาง ถือว่าดัชนีตอบรับไปรอแล้ว และหลังการประชุมไม่คิดว่าจะมีอะไรแย่ มาตรการ QE รายละเอียดต่างๆ ปล่อยออกมารอบนี้แล้ว มีการส่งสัญญาณว่าเฟดจะลดขนาดงบดุลลงเดือนละ 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เป็นอะไรที่เฟดรู้ว่าตลาดจะต้องตกใจ ก็ส่งสัญญาณณออกมาก่อนหน้านี้แล้ว
