ตลาดหุ้นไทยจะไป 2,000 จุด!!!
หากถามหาสิ่งที่นักลงทุนปรารถนาอยากจะเห็นในช่วงระหว่างการลงทุน หลายคนคงตอบเหมือนกันว่า “อยากเห็นตลาดหุ้นไทย หรือ SET ขึ้นไปแตะถึง 2,000 จุด ให้ได้สักที” หลังจากที่พยายามมาแล้วหลายครั้ง แต่ด้วยวัฐจักรทางเศรษฐกิจ อีกทั้งปัจจัยภายนอกและภายในยังไม่เอื้อให้ไปถึงจุดนั้นได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยสถาณการณ์ปัจจุบันหากวิเคราะห์กันแล้ว การที่ SET จะไปถึง 2,000 จุดได้ ยังต้องอาศัยแรงขับเคลื่อนที่สำคัญอีกหลายอย่าง เพื่อทำให้ฝันของนักลงทุนเป็นจริงได้
.
สอดคล้องกับนายเรือใหญ่ของ ตลท. โดยล่าสุด นายภากร ปิดธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้วางเป้าหมายระยะยาวของตลาดหุ้นไทยไปจนถึงปี 2566 โดยตั้งเป้าหมายมีมูลค่าตลาดหรือ Market Cap เฉลี่ยราว 30 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 150% ของ GDP จากเดิมปัจจุบันอยู่เพียง 16.6 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 108% ของ GDP ซึ่งเป้าหมายดังกล่าว จะทำให้ SET มีโอกาสไปเทียบเท่ากับตลาดยักษ์ใหญ่ของเอเชียอย่างสิงค์โปร์ ได้
.
ดังนั้น หากคาดหวังให้ตลาดหุ้นไทยไปถึงเป้าหมายได้ นอกจากการสร้างผลประกอบการให้ดียิ่งขึ้นสำหรับบริษัทที่จดทะเบียน และการเข็นหุ้นน้องใหม่เพื่อระดมทุนผ่าน IPO แล้ว ปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทยให้ไปถึงเป้าหมาย จะมีปัจจัยอะไรบ้าง ไปดูกัน....
.
เริ่มต้นกันที่ “สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐยุติลง” ประเทศต่างๆ คงจะหลีกหนีไม่ได้ หากสองประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีนและสหรัฐยังหาข้อตกลงทางการค้าระหว่างกันไม่ได้ ล่าสุดผู้บริหารระดับสูงของทั้งสองประเทศยังอยู่ระหว่างการหารือร่วมกัน เพื่อหาข้อยุติดังกล่าว โดยหากการเจรจาเป็นไปได้ด้วยดี จะทำให้สหรัฐชะลอการปรับขึ้นกำแพงภาษีจาก 10% เป็น 25% ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 2 แสนล้านดอลล่าห์ และจะส่งผลเชิงบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งรวมไปถึงตลาดหุ้นไทยด้วย
.
“การชะลอตัวการขึ้นดอกเบี้ยของ FED” นโยบายการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐหรือ FED ยังเป็นปัจจัยที่มีผลอย่างมากสำหรับตลาดหุ้นทั่วโลก ถึงแม้ว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐยังมีความแข็งแกร่ง จนทำให้ FED ทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปถึงสี่ครั้งในปีที่ผ่านมา แต่ล่าสุด FED ได้ส่งสัญญาณการชะลอตัวการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยไปก่อนในปีนี้ อันเนื่องมาจากยังไม่เห็นสัญญาณการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้ออย่างมีนัยยะสำคัญ อีกทั้งยังมีความเสี่ยงเรื่องสงครามการค้าอยู่ หากการชะลอการขึ้นอัตราอกเบี้ยของ FED นี้ยังคงอยู่ต่อไป จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดในกลุ่ม Emerging Market ที่เม็ดเงินจากต่างชาติจะไหลกลับเข้ามาในตลาดมากยิ่งขึ้น
.
ส่วนปัจจัยภายในประเทศ “การเลือกตั้ง” ยังถือเป็นปัจจัยสำคัญในการเรียกความเชื่อมั่นในการลงทุน ทั้งนักลงทุนในและต่างประเทศได้ ล่าสุด คณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต. ได้ประกาศวันเลือกตั้งเป็นวันที่ 24 มี.ค. 62 จากสถิติที่ผ่านมา ช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวรับข่าวอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสถียรภาพความมั่นคงทางการเมืองก็มีส่วนสำคัญ ในการเพิ่มขึ้นของดัชนีหลักทรัพย์ด้วย หากการเลือกตั้งเป็นไปได้ด้วยความเรียบร้อย รัฐบาลใหม่สามารถจัดตั้งได้อย่างราบรื่น จะมีส่วนอย่างมากในการผลักดันหุ้นไทยไปถึงเป้าหมายได้
.
เป็นที่ทราบกันดีว่าหุ้นกลุ่มพลังงานมีผลกับดัชนีหุ้นไทยเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นหุ้นที่มี Market Cap ที่สูง ดังนั้น “การปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน” จึงเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดราคาหุ้นกลุ่มนี้ นอกจากนั้นราคาน้ำมันยังเป็นตัวกำหนดการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้อีกด้วย โดยปีที่ผ่านมาราคาน้ำมันได้ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวได้ไม่มากนัก แต่หากปีนี้ ราคาน้ำมันสามารถปรับขึ้นได้จากปีก่อน จะมีผลอย่างมากในการผลักดันดัชนีหุ้นให้ไปถึงเป้าหมายได้