ห้องเม่าปีกเหล็ก

2 บริษัทอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ กำลังจะฟันกำไรเติบโตอย่างโดดเด่น

โดย ปะการัง
เผยแพร่ :
588 views

2 บริษัทอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่

กำลังจะฟันกำไรเติบโตอย่างโดดเด่น

.

ช่วงที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า ความกังวลภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย และความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งทำให้ความต้องการในอุตสาหกรรมชะลอตัวลง

.

แต่ล่าสุดนักวิเคราะห์มองว่าดัชนีกลุ่ม Semiconductor ในสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นแรง ในขณะที่หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ของไทยยังไม่ค่อยปรับขึ้นมากนัก รวมถึงคาดว่าผลประกอบการน่าจะผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 1/66 ดังนั้น Wealthy Thai จึงมีแนวโน้มการเติบโตของ 2 หุ้นฮอตในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์อย่าง KCE และ HANA มาฝาก

.

นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จํากัด ระบุว่า ราคาหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ของไทยยังไม่ค่อยปรับขึ้นมากนัก เมื่อเทียบกับดัชนีกลุ่ม Semiconductor ในสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นแรง นอกจากนี้แนวโน้มผลประกอบการของหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์น่าจะผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 1/66 ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์เลือก KCE และ HANA เป็นหุ้นเด่น

.

โดยแนวโน้มการดำเนินงานของ KCE ในไตรมาส 1/66 คาดว่าจะอยู่ในทิศทางที่ลดลงจากไตรมาส 4/65 (Gross margin คาดว่าจะต่ำกว่า 20%) ผลจากค่าเงินบาทที่ยังแข็งค่าขึ้นในช่วงไตรมาส 4/65 ทำให้บริษัทต้องซื้อวัตถุดิบในราคาสูง ซึ่งจะกระทบ Gross margin โดยรวม แต่ชดเชยได้บางส่วนจากปริมาณขายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 4/65

.

ทั้งนี้ผู้บริหารมั่นใจว่า Gross margin จะกลับขึ้นมาดีขึ้นได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/66 เป็นต้นไป จากแนวโน้มค่าเงินที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น ดังนั้นจึงคาดว่ากำไรไตรมาส 1/66 น่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปี

.

ดังนั้นมีมุมมองเชิงบวกต่อ KCE ในระยะกลางถึงยาว โดยจุดเด่นของ KCE คือเป็นผู้ผลิตแผงวงจรรายใหญ่ TOP 10 ของโลก ให้กับผู้ผลิตรถยนต์โดยเฉพาะในประเทศยุโรปและสหรัฐฯ ซึ่งจะได้รับผลบวกจากปริมาณความต้องการแผงวงจรในรถยนต์เพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งยังมีส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ (ที่ต้องใช้แผงวงจร) ต่อคันมากกว่ารถยนต์สันดาปทั่วไปประมาณ 3-6 เท่า

.

ด้วยเหตุนี้ KCE จึงมีแผนขยายการผลิตครั้งใหญ่ โดยเพิ่มกำลังการผลิตการผลิตแผงวงจรชนิดพิเศษที่มี margin สูงอีก 1 ล้านตารางฟุตต่อเดือน (จากปัจจุบันมีกำลังการผลิต 3.6 ล้านตารางฟุตต่อเดือน) คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ซึ่งจะสอดรับกับปริมาณความต้องการแผงวงจรซับซ้อน สำหรับรถยนต์ที่เติบโตมากในอนาคต

.

ด้านราคาหุ้นของ KCE ปรับฐานลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ สำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูง แนะนำหาจังหวะเข้าซื้อที่ราคาระหว่าง 45-50 บาท โดยเฉพาะช่วงรายงานผลประกอบการไตรมาส 1/66 ที่คาดว่าน่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปี และคาดว่าแนวโน้มจะกลับเติบโตดีอีกครั้งตั้งแต่ไตรมาส 2/66 จาก Pent-up demand และคาดว่าจะดีต่อเนื่องไปถึงปี 2567 ที่มีการขยายกำลังการผลิตครั้งใหญ่ ให้ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 61 บาท

.

ส่วน HANA บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด คาดแนวโน้มการดำเนินงานไตรมาส 1/66 จะอยู่ในทิศทางชะลอตัวลงจาไตรมาส 4/65 โดยยังได้รับผลกระทบจากลูกค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์และ Smartphone ที่มีคำสั่งซื้อชะลอตัวลง ตามความกังวลภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว สินค้าคงเหลือที่มาก รวมถึงยังมีแรงกดดันจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น นอกจากนี้ไตรมาส 1/66 ยังมีผลกระทบจากโรงงานจีนที่ผลิตไม่ได้เต็มที่จากการแพร่ระบาดเชื้อโควิด 19 และการหยุดยาวช่วงตรุษจีน โดยรวมทำให้อัตราการทำกำไรอ่อนแอลงเช่นกัน

.

สำหรับการเพิ่มทุน PP จำนวน 80.5 ล้านหุ้น (10% ของจำนวนหุ้น ทั้งหมด) นั้น ต้องรออนุมัติผู้ถือหุ้นก่อน แล้วจะพิจารณาขายให้กับนักลงทุนสถาบันหรือรายอื่น รวมกันไม่เกิน 50 ราย คาดว่าจะมี dilution effect ไม่มาก (ประมาณ 1%) เนื่องจาก HANA กำหนดราคาขาย PP จะมีส่วนลดได้ไม่เกิน 10% จากราคาตลาดในช่วงนั้น ซึ่งเงินที่ได้จากการเพิ่มทุน เบื้องต้นคาดว่าจะนำมาเป็นเงินลงทุนในธุรกิจใหม่อย่าง Silicon Carbide เป็นหลัก

.

ทั้งนี้ แนวโน้มกำไรจากการดำเนินงานของ HANA ค่อนข้างมีความท้าทาย ฝ่ายวิเคราะห์คาดปี 2566 จะลดลง 4% จากปริมาณความต้องการสินค้าหลักในกลุ่ม PC และ Smartphone ที่ลดลง, ต้นทุนวัตถุดิบแพง (ซื้อในช่วงค่าเงินบาทอ่อน) และต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ขึ้น จะกระทบอัตราการทำกำไรในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ แม้คาดว่าปริมาณคำสั่งซื้อสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ RFID Inlay ที่เพิ่มขึ้นมาก

.

โดยเฉพาะลูกค้ารายใหญ่ Walmart มีคำสั่งซื้อล่วงหน้าจำนวนมาก แต่สัดส่วนรายได้และกำไรยังค่อนข้างเล็ก จึงมองว่าภาพการฟื้นตัวของกำไรจะอยู่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 หลังจากที่ HANA ขยายกำลังการผลิต RFID inlay และติดตั้งอุปกรณ์ของธุรกิจ Silicon Carbide แล้วเสร็จในช่วงกลางปี 2566

.

อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นปัจจุบันถือว่าอยู่ระดับใกล้เคียงกับมูลค่าพื้นฐาน ฝ่ายวิเคราะห์จึงแนะนำเพียง ถือ และให้ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 57 บาท

 


ปะการัง