สรุปรายการสัมนา Money Talk Special ตอน "วีไอ" กับหุ้นต่างประเทศ วันที่ 12 พฤษภาคม 2564
แขกรับเชิญ
1. คุณชาย มโนภาส
อดีตนายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย)
2. คุณวีระพงษ์ ธัม
นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย)
จุดประสงค์ของการพูดคุยครั้งนี้ คือ เพื่อเป็นการแนะแนวพี่ๆน้องๆ นักลงทุนที่อยากจะไปลงทุนหุ้นต่างประเทศในแนวทางของวีไอ เราต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ต้องมีแนวคิดอย่างไร และถ้าไม่อยากไปศึกษาเอง คือ เจาะหุ้นแบบรายตัวเอง สามารถทำอย่างไรได้บ้าง
1.
คุณชาย แนะแนวว่าเส้นทางอนาคต คือ ธีมเทคโนโลยีมาแน่นอน ซึ่งต่างประเทศมีเยอะมาก ในขณะที่ประเทศไทยจะเป็นลักษณะ Old Economy มากกว่า เช่น ธุรกิจน้ำมัน พลังงาน หรือถ้าจะเทคโนโลยีจริงๆก็เป็นลักษณะ กึ่งๆ คือ เป็นผู้ใช้มากกว่า ไม่ได้เป็นเจ้าของนวัตกรรม
2.
คุณวีระพงษ์ แสดงความเห็นว่า การลงทุนต่างประเทศเป็นแนวทางที่น่าสนใจเพราะจะช่วย "ลดความเสี่ยง" และ "เพิ่มผลตอบแทน" ให้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ก็ต้องถามตัวเองว่าเราพอใจมากแค่ไหน เชื่อว่าประเทศไทยอาจจะสร้างผลตอบแทนปีละ 5-6% ถ้าเราพอใจก็อาจจะไม่จำเป็น
ดร.นิเวศน์ เสริมว่า การลงทุนต่างประเทศ คนไทยอาจจะเสียเปรียบเพราะไม่เข้าใจวัฒนธรรม ไม่เข้าใจข้อมูลอะไรหลายๆอย่างเพราะเราอาจจะไม่เคยสัมผัส ในขณะที่การลงทุนในไทยเราเข้าใจดี สินค้านี้เราเคยเจอ เคยใช้ คือเรามีความเข้าใจมากกว่า
... แต่ถ้าเราชอบศึกษา เป็นนักลงทุน Full Time ก็ควรไปเพราะเป็นการเปิดโอกาสให้เรามากขึ้น
3.
คุณวีระพงษ์ มีความเห็นสอดคล้องกับ ดร.นิเวศน์ ว่าคนไทยลงทุนในไทยจะได้เปรียบกว่าเพราะเรามีความเข้าใจ แต่พอไปต่างประเทศเราต้องทุ่มเทเยอะมาก ใช้พลังเยอะมาก ในขณะที่ต่างประเทศมีนักลงทุนสถาบัน มีบทวิเคราะห์ มีคนเก่งๆมาระดมสมองจำนวนมาก ... ประเด็นหลักคือ "ความทุ่มเท" ต้องขยันอ่าน ขยันหา ขยันศึกษา
อย่างเช่น ตอนเขาศึกษาหุ้นตัวหนึ่งในต่างประเทศ เขาแทบจะไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนถึงใช้บริการอันนี้ เป็นเพราะว่าคนไทยไม่เคยใช้ แต่ทำไมฝรั่งถึงยอมจ่ายเงินซื้อบริการนี้ อะไรแบบนั้น คือมันอยู่ที่ว่าเราไม่อิน เราไม่เข้าใจ
คุณวีระพงษ์ บอกว่าตอนแรกๆ เขาก็ลงทุนต่างประเทศผ่าน ETF แต่พอมา Track Record กับหุ้นไทยปรากฏว่าลงทุนหุ้นไทยให้ผลตอบแทนดีกว่า ... ซะอย่างนั้น ... !!
4.
คุณชาย เสนอแนะว่าการลงทุนต่างประเทศใช้เวลามาก ดังนั้นถ้าคนไหนมีงานประจำ ต้องทำงาน เลือกซื้อ ETF ดีกว่า เราคิดแค่ว่าธีมไหนน่าสนใจ ประเทศไหนน่าสนใจก็ซื้อมันทั้งตะกร้าไปเลย
แต่การลงทุนต่างประเทศ แบบเลือกซื้อเลือกหาเอง มันก็ดีกว่าเพราะมันเป็นการเปิด "โลกทัศน์" ของเราทำให้เราต้องเกาะโลกของการลงทุนอยู่ตลอดเวลา
ตัวอย่างเช่น เขาเคยศึกษาหุ้น Domino Pizza ธุรกิจอาหารธรรมดาแต่ราคาขึ้นไปสร้างผลตอบแทนมากกว่าหุ้นเทคโนโลยี
ดร.นิเวศน์ เสริมว่า ร้านโดมิโน่พิซซ่าเน้นการเดลิเวอรี่มาก พอช่วงโควิดเขาเลยได้เปรียบ ราคาหุ้นเลยทำนิวไฮไปแล้ว ในขณะที่เจ้าอื่นยังต้องปรับตัว พึ่งจะเริ่มบริการส่ง อะไรแบบน้ัน
5.
ดร.นิเวศน์ บอกว่าคนจะลงทุนต่างประเทศ จะต้องประเมินความพร้อมของตัวเองก่อน เช่น ความสามารถในการวิเคราะห์ เราขยันไหม เราทุ่มเทมากแค่ไหน และที่สำคัญคือ เรามีเงินมากเพียงพอหรือยัง
ตรงนี้ ผู้สรุปคิดว่า ดร.อาจจะหมายถึง คนจะลงทุนต่างประเทศต้องมีเม็ดเงินพอสมควรเพราะค่าธรรมเนียม ค่าบริการของประเทศนั้นๆค่อนข้างแพง ถ้าซื้อน้อยๆอาจจะไม่คุ้ม เช่น ซื้อหุ้นในฮ่องกงค่าธรรมเนียมเริ่มต้น 200 ฮ่องกงดอลล่าร์ ก็อยู่ที่ประมาณ 700 บาท ถ้าเราซื้อทั้งไปทั้งกลับ ก็จะอยู่ที่ 1400 บาท หรือตลาดหุ้นอเมริกาเริ่มต้นที่ 21 ดอล์ล่าร์ ก็จะประมาณ 600 บาท เป็นต้น
... ยังไม่รวมค่าธรรมเนียมในการแปลงสกุลเงินอีกจะอยู่ที่ประมาณ 1000 บาท ต่อการแปลงสกุลเงิน 1 ครั้ง เท่ากับว่าแปลงไป - แปลงกลับ ก็ต้องเสียอย่างน้อยแล้ว 2000 บาท
6.
ดร.ไพบูลย์ บอกว่า จะเริ่มลงทุนประเทศไหนดี ใช้อะไรเป็นเกณฑ์
คุณวีระพงษ์ บอกว่า ให้เราลงทุนในสิ่งที่เรารู้ดี อย่างเช่น เราไม่ได้มีความรู้เรื่องเทคโนโลยีเลย แต่เราสนใจเรื่องแฟชั่น กระเป๋าแบรนด์เนม เราก็สามารถซื้อดิออร์ กุชชี่ ซื้อแอร์เมส ได้มีซื้อขายในตลาดหุ้นฝรั่งเศส หรือถ้าเราสนใจในธุรกิจยา เราก็อาจจะไปซื้อหุ้นที่วิจัยทางด้านยา ที่เราเข้าใจดี
7.
คุณวีระพงษ์ ยังแนะนำอีกว่า เราต้องมี "สังคม" ของการแลกเปลี่ยนความเห็น อย่างเช่นตอนเขาลงทุนหุ้นไทย ก็มีสังคม ThaiVI มีสัมนา MoneyTalk เป็นต้น คือได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ได้ไอเดียทางการลงทุน
มันก็เลยกลับไปที่คำถามแรกว่า จะเริ่มลงทุนประเทศไหน เริ่มต้นจากการฟัง การแลกเปลี่ยนความเห็นในสังคมเดียวกัน ค่อยๆขยายความรู้ไปเรื่อยๆ
8.
ดร.นิเวศน์ เล่าถึงตลาดหุ้นเวียดนาม ว่าที่เขาไปเพราะเห็นหุ้นหลายตัวเป็น Super Stock มีการเติบโต แต่คนเวียดนามยังไม่เข้ามาเล่น เราเลยไปก่อน
ดร. ลงทุนในหุ้นที่โตสม่ำเสมอ ซึ่งชอบมากกว่าหุ้นที่โตเร็ว
ยกตัวอย่าง เช่น หุ้นสนามบิน โดยปกติหุ้นสนามบินจะเป็นลักษณะ 1 แห่ง 1 หุ้นสนามบิน แต่ของเวียดนาม หุ้นสนามบินเป็นเจ้าของทั่วประเทศ (เหมือนของไทยที่สนามบินส่วนใหญ่เป็นของ AOT)
หรือหุ้นโรงไฟฟ้า อย่างเวียดนามไม่ค่อยมีมูลค่า ไม่เหมือนของไทย
อย่างของไทย ผลิตได้เท่าไร ภาครัฐรับซื้อหมด มีสัญญา มีอัตราการรับซื้อ นักลงทุนเลยให้ Value สูง
แต่ของเวียดนาม ภาครัฐรับซื้อส่วนหนึ่ง ที่เหลือต้องขายในราคาถูกๆ อะไรแบบนั้น หุ้นเลยไม่ค่อยขึ้น ตอนนี้ก็เลยไม่ได้ซื้อแล้ว
9.
คุณชาย บอกว่าชอบตลาดหุ้นอเมริกา เพราะมูลค่าตลาดหุ้นทั่วโลก เฉพาะในอเมริกาอย่างเดียวกินส่วนแบ่งถึง 50% อาจจะเพราะว่าหุ้นคุณภาพดีๆจากทั่วโลกไปอยู่ในนั้นกันหมด มันก็เลยยิ่งใหญ่ขึ้น มีเม็ดเงินเข้ามามากขึ้น
10.
คุณชาย เสริมอีกว่าจะพูดชมอย่างเดียวไม่ได้ มาพูดด้านแย่ๆ ด้านความเสี่ยงกันบ้าง ... ?
นักลงทุนอาจจะยังไม่สร้างว่า หุ้น IPO ที่เข้ามาใหม่ในช่วง 1-2 ปีมานี้ บริษัทกว่า 80% เป็นบริษัทที่ยังขาดทุนอยู่ ... นั้นแสดงให้เห็นถึงสภาวะ อะไรบางอย่าง ?
เหมือนกับว่าคุณเอาอะไรมาขายก็ได้อย่างนั้นเหรอ คือมันไม่ใช่แบบนั้น
และอย่างล่าสุดช่วงโควิด รัฐบาลของอเมริกาเขาแจกเงินให้ประชาชนเพื่อให้คนเอาไปใช้จ่าย เอาไปใช้หนี้ ปรากฏว่าคนเอาเงินมาซื้อหุ้นกัน หุ้นเลยขึ้น
พอหุ้นขึ้น ความเสี่ยงมันก็เลยเพิ่มขึ้น
เลยอยากฝากคนรุ่นใหม่ หรือคนที่สนใจจะลงทุนไว้ว่า การซื้อของดีราคาไม่แพง ยังเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ได้ อย่ามองแต่ด้านดีอย่างเดียว
11.
คุณวีระพงษ์ บอกว่า ชอบตลาดหุ้นอเมริกา เหมือนคุณชาย
แต่สิ่งที่ไม่ชอบ คือ มันมีความเก็งกำไรกันสูงมาก มัน Efficiency มาก
ผู้สรุป คิดว่าอาจจะหมายถึง คนคาดกันค่อนข้างแม่นยำ เช่น หุ้นตัวนี้กำไรน่าจะออกมาดี แต่ราคาหุ้นขึ้นไปรอกันก่อนตั้งนานแล้ว เรามาเห็นทีหลัง พองบออกปรากฏหุ้นไหลยาวเลยเพราะเขาขายทำกำไรกัน
12.
คุณชาย บอกว่า เราพูดถึงต่างประเทศกันเยอะ แต่เงินส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ในประเทศไทย ยังลงทุนในไทยเป็นเงินส่วนใหญ่
เช่น หุ้นกลุ่มสื่อสาร อย่างของไทยแข่งกันสูงก็จริง แต่ก็แข่งกัน 3 เจ้า แต่ต่างประเทศมีเป็น 10 บริษัทเลยแข่งกันดุมากกว่าเราซะอีก
คุณวีระพงษ์ เสริมว่า เงินส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ในไทย เพราะคิดว่าไทยยังดูปลอดภัยกว่า เราเข้าใจมากกว่า
อย่างหุ้นไทย ถ้าเราซื้อผิดราคา อย่างมากก็ติดดอย เราก็รอได้
แต่ถ้าหุ้นต่างประเทศ เราซื้อผิดตัวนี้คือมันอาจจะเหลือ 0 หรือมันไม่กลับมาอีกเลย นี้ถือเป็นความเสี่ยงมาก
ดร.นิเวศน์ แนะนำว่าลงทุนต่างประเทศความเสี่ยงสูง เราอย่าลงทุนเยอะมาก อาจจะแบ่งพอร์ตไปสักหน่อย อย่าตามกระแส
ดร. แนะนำอีกว่า เราลงทุนในไทยให้ดีก่อนดีกว่า ให้เข้าใจหลักการลงทุน ค่อยไปต่างประเทศ
======================
ขอบคุณสัมนาดีๆจาก MONEY TALK Special ครับ