กองทุน "Active" & "Passive" แบบไหนดีกว่ากัน
กองทุนรวมหุ้นส่วนใหญ่มี 2 ชนิด คือ กองทุนแบบ Active ที่ผู้จัดการกองทุนต้องใช้ความสามารถในการคัดเลือกหุ้นเพื่อที่จะสามารถสร้างผลตอบแทนสูงที่สุดให้กับกองทุน อีกชนิดหนึ่งคือ กองทุนแบบ Passive หรือเป็นลักษณะของการที่กองทุนนั้นเข้าไปซื้อดัชนีทั้งดัชนี ดังนั้นกองทุนชนิดนี้จะให้ผลตอบแทนตามดัชนีคือถ้าดัชนีทั้งหมดขึ้นช่วงที่นักลงทุนถือหน่วยลงทุนนักลงทุนก็จะได้กำไร ในทางตรงกันข้าม หากนักลงทุนถือหน่วยลงทุนในช่วงที่ดัชนีหุ้นตกลง นักลงทุนก็จะขาดทุนตามไปด้วย เชื่อว่านักลงทุนหลายท่านหากจะเลือกลงทุนในกองทุนรวมหุ้นแล้วส่วนใหญ่มักจะเลือกลงทุนในกองทุนรวมหุ้นที่เป็นแบบ Active เพราะมีความเชื่อว่าหากมีผู้จัดการกองทุนเลือกหุ้นอย่างดีแล้วผลตอบแทนก็ควรจะดีกว่าการปล่อยให้ผลตอบแทนขึ้นกับดัชนีเพียงอย่างเดียว
ความเชื่อนี้ได้รับการพิสูจน์ผ่านบทวิจัยจาก University of Chicago ว่าความโชคดีหรือทักษะที่ทำให้กองทุนมีผลตอบแทนที่แตกต่างกัน แต่ต้องแจ้งก่อนว่างานวิจัยนี้อ้างอิงกองทุนรวมในอเมริกาเป็นหลัก ซึ่งอาจไม่ตรงกับกองทุนรวมในประเทศไทยซะทีเดียว
จากการวิจัย พอร์ตกองทุนรวมหุ้นแบบ Active ในภาพรวมแล้วให้ผลตอบแทนใกล้เคียง พอร์ตแบบ Passive ซึ่งขัดกับความเชื่อข้างต้นอย่างสิ้นเชิง แต่เนื่องจากค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุนที่สูงทำให้สุทธิแล้วให้ผลตอบแทนที่ได้ต่ำกว่าแบบ Passive จากการเก็บข้อมูลพบว่ามีเพียงไม่กี่กองทุนเท่านั้นที่สามารถทำกำไรได้เพียงพอ/เกินจากค่าธรรมเนียมเล็กน้อย
มีข้อจำกัดเกี่ยวกับผลตอบแทนการลงทุนที่เรียกว่าบัญชีดุลยภาพ(equilibrium account) เมื่อมีการวัดผลตอบแทนก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ปรากฏว่า นักลงทุนประเภทนี้จะกำไรเมื่อกองทุนมีกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายแต่หากกองทุนนั้นมีค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆนักลงทุนก็มีโอกาสขาดทุนเช่นกัน ในภาพรวมแล้วกองทุนรวมที่สามารถทำกำไรได้กับกองทุนรวมที่ทำกำไรไม่ได้เมื่อเฉลี่ยรวมกันแล้วจะมีผลตอบแทนใกล้กับตลาดฯ/กองทุนแบบ Passive แต่ความท้าทาย คือ การแยกระหว่างทักษะกับความโชคดี เมื่อกองทุนมีขนาดใหญ่ขึ้นหลายกองทุนมีผลตอบแทนที่มากขึ้นโดยบังเอิญ ดังนั้นการทดสอบสมมุติฐานนี้ ผู้วิจัยได้ทดสอบความคงอยู่ของผลตอบแทนกองทุนว่า ผู้ชนะในอดีตจะยังคงให้ผลตอบแทนสูงต่อไปได้หรือไม่ แต่การทดสอบความคงทนมีจุดอ่อน คือ ใช้วิธีการจัดอันดับเงินทุนจากผลดำเนินงานที่ผ่านมาในระยะสั้น จึงมีหลักฐานน้อยเกินไป จากการที่ผู้ชนะก็จะได้รับเงินเพิ่มเข้ามาเพิ่มในกองทุน ส่วนผู้แพ้ก็จะถูกนำเงินออกไป แต่จากการใช้ผลตอบแทนแต่ละกองทุนในระยะยาว พบว่า มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่ไม่กี่แห่งสามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าหรือเท่ากับผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ (expected return)
ปัญหาในการทดสอบเกี่ยวกับผลตอบแทนของกองทุนรวม คือ บางกองทุนไม่รายงานต้นทุนการซื้อขาย ทำให้มีข้อผิดพลาดจากการประมาณการ เพราะค่าใช้จ่ายส่วนนี้มีแนวโน้มแตกต่างกันไปตามทักษะการเทรดและขอบเขตการลงทุนของกองทุน
ผลสรุปจากการวิจัย สำหรับปี ค.ศ. 1984 – 2006 จากฐานข้อมูลกองทุนรวมจะได้รับผลตอบแทนสุทธิที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่าเกณฑ์ CAPM และจากการสำรวจกองทุนส่วนบุคคล 3,156 กองทุน พบว่าบางกองทุนทำได้ดีเป็นพิเศษขณะเดียวกันกองทุนจำนวนมากก็ขาดทุน เช่นกัน ทำให้ผลตอบแทนสุทธิมีเพียงไม่กี่กองทุนเท่านั้นที่ทำได้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายโดยใช้วิธีการเปรียบเทียบแจกแจงค่าประมาณอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยจริงกับการแจกแจงตามแบบจำลอง bootstrap ซึ่งให้ผลรวมของผลตอบแทนทั้งกองทุนที่กำไรและกองทุนที่ขาดทุนรวมกันแล้วได้ศูนย์ ดังนั้นผลตอบแทนสุทธิหลังหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆแล้วการลงทุนกองทุนแบบ Passive ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าแบบ Active
- Yoo -
อ้างอิง : บทวิจัย Luck versus Skill in the cross section of mutual fund returns
ผู้วิจัย : Eugene F. Fama - University of Chicago , Kenneth R. French - Tuck school of Business