ตลาดหมีนำไปสู่ภาวะถดถอยหรือไม่
ตลาดหุ้นสหรัฐเริ่มเข้าสู่ภาวะตลาดหมี หรือ Bear market แล้ว หลังจากปรับลงต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปี 22.5% ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 7 ของประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นสหรัฐ หลังจากที่ GDP สหรัฐในไตรมาสแรกของปีนี้ออกมาปรับลดลง 1.5% จากไตรมาสก่อนหน้าและหากยังมีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่องก็อาจสะท้อนได้ว่าเศรษฐกิจได้เกิดภาวะถดถอยไปแล้วก่อนที่จะเกิด Bear market
บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช ประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นสหรัฐเริ่มเข้าสู่ช่วงขาลง หรือตลาดหมี (Bear Market) แล้ว (ตลาดปรับลงเกิน 20%) หลังจากปรับลงต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปี 22.5% ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 7 ของประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นสหรัฐที่เข้าสู่ภาวะดังกล่าว โดย 6 ครั้งก่อนหน้าที่เรียกได้ว่าเป็น Bear market ได้แก่
1. Oil Shock ปี ค.ศ. 1973-1974
2 Volcker Squeeze ปี ค.ศ.1980-1982
3. Black Monday ปี ค.ศ. 1987
4. Technology-Stock Crash ปี ค.ศ. 2000-2002
5. Financial Crisis ปี ค.ศ. 2007-2009
6.Coronavirus Lockdown ปี ค.ศ. 2020
ซึ่งประมาณ 5 ครั้งที่เกิด Bear market นั้นจะตามมาด้วยภาวะเศรษฐกิจถดถอยตามมา (ยกเว้นปี 1987)
อย่างไรก็ตามภาพในอดีตแสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็อาจไม่ได้แย่มาก อย่างเช่นในช่วง Technology-Stock Crash นั้นเกิดขึ้นยาวนานเพียงแค่ 8 เดือนและเศรษฐกิจชะลอตัวเล็กน้อยโดย GDP ลดลงเพียง 0.3% นอกจากนี้ ยังมีภาวะตลาดหุ้นในช่วงปี 1990, 1998, 2011 และปี 2018 ซึ่งไม่เข้านิยามของ Bear market (ตลาดปรับลดลงมากกว่า 18% แต่ไม่ถึง 20%) โดยช่วงดังกล่าวเกิดเศรษฐกิจถดถอยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
@ Bear market ปัจจัยชี้วัดย้อนหลัง
ปกติตลาดหุ้นจะเป็นปัจจัยชี้วัดล่วงหน้าถึงแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต อย่างเช่นช่วงเมษายนปี 2020 ที่มีความกังวลเพิ่มขึ้นต่อสถานการณ์โควิด-19 แต่ตลาดหุ้นกลับปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากสะท้อนถึงกำไรของภาคธุรกิจที่จะกลับมาดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาพด้านล่างเป็นการแสดงให้เห็นว่าในอดีตนั้นการเริ่มต้นของ Bear market ได้เกิดขึ้นหลังจากที่ได้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยไปแล้ว Bear market จึงเป็นเหมือนปัจจัยชี้วัดย้อนหลัง เพราะโดยส่วนใหญ่ปัญหาเศรษฐกิจได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อ Bear market เกิดขึ้น อย่างเช่นในปี 1974, 1982 และ 2008 ที่ภาวะเศรษฐกิจได้เกิดภาวะถดถอยก่อนที่ตลาดจะเกิด Bear market
@ สถานการณ์ปัจจุบัน
หลังจากที่ GDP สหรัฐในไตรมาสแรกของปีนี้ออกมาปรับลดลง 1.5% จากไตรมาสก่อนหน้าและหากยังมีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่องก็อาจสะท้อนได้ว่าเศรษฐกิจได้เกิดภาวะถดถอยไปแล้วก่อนที่จะเกิด Bear market อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน หลายๆสำนักวิจัยได้คาดการณ์ว่า GDP สหรัฐในไตรมาส 2 นี้จะออกมาปรับตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้โดยปกติ Bear market จะเกิดขึ้นหลังจากที่อัตราการว่างงานได้เพิ่มขึ้นแล้วต่อเนื่องหลายเดือนติดต่อกันอย่างเช่นในช่วงเมษายน 1974 แต่เมื่อเทียบกับอัตราการว่างงานในปัจจุบันแล้วก็ดูเหมือนจะไม่เกิดอย่างเช่นในอดีต เพราะอัตราการว่างงานในปัจจุบันยังอยู่ใกล้เคียงระดับต่ำสุดในรอบ 50 ปี (หลังจากที่ก่อนหน้านี้ช่วงต้นปี 2020 ที่สถานการณ์ COVID ได้แย่ลงและทำให้อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นสูงมากในช่วงดังกล่าว)
ในขณะที่ปี 2022 นั้นเชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยนั้นอาจเกิดขึ้นได้และมีโอกาสเป็นไปได้มากจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐในแต่ละครั้งจากนี้ ดังนั้นเมื่อเทียบจากเหตุการณ์ในอดีตแล้วภาวะที่เรียกว่า Bear market ในปัจจุบันอาจยังเป็นสัญญาณเตือนที่ยังไม่แน่ชัดเท่าใดนัก