‘ธุรกิจค้าปลีก’ ถือเป็นอีกดัชนีที่ชี้วัดถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี เพราะมีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงหลายภาคส่วน ทั้งผู้ประกอบการ และแรงงานบนเส้นทางซัพพลายเชนจำนวนมาก ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันรัฐบาลจะผ่อนคลายมาตรการให้หลาย ๆ ธุรกิจเริ่มกลับมาดำเนินกิจการได้ตามปกติ แต่ถึงวันนี้กลับดูเหมือนว่าในแง่ของภาพรวมธุรกิจต่าง ๆ จะยังไม่ฟื้นตัวและกลับมาดำเนินธุรกิจได้เหมือนก่อนช่วงโควิด-19 โดยเฉพาะอุตสาหกรรมค้าปลีกไทย ที่มีมูลค่ากว่า 3.5 ล้านล้านบาท ที่ยังตกอยู่ในภาวะถดถอยต่อเนื่อง
มีข้อมูลการสำรวจจาก Boston Consulting Group (BCG) ที่ได้ทำการสำรวจประชากรจำนวนกว่า 35,000 คนใน 20 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทย พบว่าวิกฤติโควิด 19 ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างชัดเจน และอาจจะกลายเป็น New Normal ที่คงอยู่ต่อไป
ผลจากพฤติกรรม New Normal ที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้การตัดสินใจเลือกช่องทางในการซื้อสินค้าเปลี่ยนตาม ซึ่งพบว่าลูกค้านิยมเข้า ร้านสะดวกซื้อ อาทิ 7-11 และ family mart มากขึ้น เพราะต้องการหลีกเลี่ยงผู้คนจำนวนมากที่ทำให้เกิดความแออัด โดยจะเน้นซื้อสินค้าที่สามารถบริโภคหรือใช้ได้ทันที ส่วน มินิมาร์ท อย่าง MiNi BigC หรือ Tesco Express จะเน้นสินค้าที่ผู้บริโภคสามารถเก็บไว้ใช้ระหว่างสัปดาห์หรือเป็นสินค้าของใช้ในครัวเรือนและส่วนผสมในการทำอาหารที่หมดระหว่างสัปดาห์ เพราะมักมีราคาถูกกว่าและโปรโมชั่นสนใจ
นอกจากนี้ Boston Consulting Group (BCG) ยังได้สัมภาษณ์พูดคุยกับผู้บริโภคกว่า 1,000 รายและพูดคุยกับผู้ใช้บริการกว่า 85% ของกลุ่มตัวอย่าง พบว่าผู้คนส่วนใหญ่มักเข้าไปซื้อของที่ร้านค้าปลีกขนาดเล็กอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วงระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา ที่น่าสนใจคือในจำนวนนี้เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ที่ใช้บริการร้านสะดวกซื้อจะไม่ไปร้านมินิมาร์ท แต่ในทางกลับกันผู้ใช้บริการร้านมินิมาร์ทแทบทุกคนก็ยังไปร้านสะดวกซื้อร่วมด้วย
สะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริโภคมีทัศนคติต่อร้านค้าแต่ละประเภทแตกต่างกัน สำหรับ ร้านสะดวกซื้อ จะเน้นที่ตั้งที่ใกล้ชิดกับแหล่งชุมชน และเข้าถึงได้ง่าย ส่วน มินิมาร์ทจะเน้นเรื่องความหลากหลายของสินค้า ราคาและโปรโมชั่นต่างๆ จึงทำให้เหตุผลในการไปใช้บริการร้านค้าต่างๆแตกต่างกันไปด้วย
ร้านสะดวกซื้อ เป็นเพียง 1 ใน 5 ของธุรกิจค้าปลีกยุคปัจจุบัน โดยยังมีร้านค้าปลีกอีก 4 ประเภท ที่มีการจำหน่ายสินค้าที่คล้ายคลึงกันแต่แตกต่างกันที่สถานที่ตั้งตามกลุ่มเป้าหมาย
เปิดรายได้และกำไรในปี 2562 ของบริษัทในกลุ่มต่างๆ ก่อนเจอวิกฤติโควิด
กลุ่มห้างสรรพสินค้า
บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด รายได้ 44,723,662,553 บาท กำไร 8,871,391,057 บาท
บริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน) รายได้ 17,102,466,370 บาท กำไร 4,590,861,893 บาท
บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด รายได้ 10,448,990 บาท กำไร 5,560,722 บาท
กลุ่มดิสเคาน์สโตร์
บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (เทสโก้ โลตัส) รายได้ 188,628,381,821 บาท กำไร 7,819,672,297 บาท
บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) รายได้ 200,706,399,047 บาท กำไร 7,040,139,965 บาท
บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) รายได้ 203,944,678 บาท กำไร 139,892,337 ล้านบาท
กลุ่มซูเปอร์มาร์เก็ต
บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด (ท็อปส์) รายได้ 43,143,408,344 บาท กำไร 663,144,941 บาท
บริษัท วิลล่า มาร์เก็ท เจพี จำกัด รายได้ 6,388,212,640 ล้านบาท กำไร 417,709,100 บาท
บริษัท ฟู้ดแลนด์ซุปเปอร์มาร์เก็ต จำกัด รายได้ 5,529,884,745 บาท กำไร 49,344,208 บาท
ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ
บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (7-11, แม็คโคร) รายได้ 361,034,074,007 บาท กำไร 20,180,101,849 ล้านบาท
บริษัท เซ็นทรัล แฟมิลี่มาร์ท จำกัด รายได้ 16,754,827,537 บาท ขาดทุน 182,507,030 ล้านบาท
บริษัท สห ลอว์สัน จำกัด รายได้ 2,957,178,854 บาท ขาดทุน 79,306,316 บาท
ร้านค้าปลีกขายสินค้าเฉพาะอย่าง
บริษัท เซ็นทรัล วัตสัน จำกัด รายได้ 19,475,778,941 บาท กำไร 1,831,873,345 บาท
บริษัท บู๊ทส์ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด รายได้ 8,135,569,804 บาท กำไร 201,946,242 บาท
บริษัท ซี อาร์ ซี สปอร์ต จำกัด (ซูเปอร์สปอร์ต) รายได้ 10,933,825,775.00 บาท กำไร 708,337,455 บาท
ที่มา : ข้อมูลงบการเงินจาก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ (อัพเดทวันที่ 19 ส.ค. 63)
งบการเงินข้างต้น เป็นข้อมูลก่อนที่จะเกิดวิกฤติโควิด 19 ทำให้ตัวเลขหลายกลุ่มธุรกิจยังคงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก มีข้อสังเกตนึงพบว่าธุรกิจร้านสะดวกซื้อและธุรกิจดิสเคาน์สโตร์มีรายได้สูงกว่าค้าปลีกกลุ่มอื่นๆ อาจเพราะมีกลุ่มลูกค้าที่กว้างกว่า และมีสาขาอยู่มากมายกระจายอยู่ทั่วภูมิภาค สิ่งที่น่าจับตาหลังจากนี้คือตัวเลขงบการเงินที่จะออกมาในปี 2563 ที่จะสะท้อนให้เห็นภาพที่แท้จริง
วิกฤตโควิด-19 ส่งผลต่อรูปแบบการดำเนินธุรกิจค้าปลีกที่คาดว่าจะเปลี่ยนแปลงไปในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะการหันมาซื้อสินค้าออนไลน์กันมากขึ้น และกล้าที่จะซื้อสินค้ากลุ่มใหม่อย่างอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคในช่องทางนี้มากขึ้น และพฤติกรรมต่างๆ เหล่านี้น่าจะยังคงมีอยู่ในระยะยาวภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ประกอบการค้าปลีก ต่างต้องเร่งทบทวนและปรับกลยุทธ์การทำธุรกิจเข้าหาตลาดออนไลน์มากขึ้นและเร็วขึ้น เนื่องจากการทำการขายผ่านช่องทางหน้าร้านอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอที่จะสร้างรายได้หรือไม่คุ้มกับการลงทุน แต่ทั้งนี้ผู้ประกอบการค้าปลีกอาจจะต้องเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมกับสินค้าของตนเองและสามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้
รวมถึงคุณภาพของการให้บริการที่สร้างความประทับใจให้กับผู้บริโภค โดยเฉพาะความสะดวกและปลอดภัยในการชำระเงิน ตลอดจนความรวดเร็วในการจัดส่งสินค้า ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์
นับเป็นปีที่ภาคธุรกิจต้องเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่ที่ไม่ได้เกิดจากวิกฤตการเงินหรือวิกฤตเศรษฐกิจเฉกเช่นที่เคยเป็นมา ทว่า นี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนให้ค้าปลีกไทยต้องรุกตลาด E-Commerce อย่างจริงจังมากขึ้น เมื่อวิถีชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไปนับแต่ไวรัสโควิด-19 อุบัติขึ้นมา.