ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดบวก 417.86 จุด แต่ตลาดยังกังวลมาตรการภาษีทรัมป์
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ (31 มี.ค.) โดยฟื้นตัวหลังจากที่ร่วงลงในระหว่างวัน อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาตลอดเดือนมี.ค.และตลอดทั้งไตรมาส 1/2568 ดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีปรับตัวลง ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,001.76 จุด เพิ่มขึ้น 417.86 จุด หรือ +1.00%,
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,611.85 จุด เพิ่มขึ้น 30.91 จุด หรือ +0.55%
และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 17,299.29 จุด ลดลง 23.70 จุด หรือ -0.14
หุ้น 10 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวขึ้น 1.63% ตามด้วยหุ้นกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้น 1.25% ส่วนหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยปรับตัวลง 0.18%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กถูกกดดันอย่างหนักตลอดเดือนมี.ค. เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่ามาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ จะทำให้เกิดสงครามการค้าทั่วโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและทำให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น โดยในเดือนมี.ค.นั้น ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงทั้งสิ้น 4.2% ขณะที่ดัชนี S&P500 ลดลง 5.8% และดัชนี Nasdaq ร่วงลง 8.2%
ส่วนตลอดไตรมาส 1/2568 ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงทั้งสิ้น 1.3% ขณะที่ดัชนี S&P500 ร่วงลง 4.6% และดัชนี Nasdaq ดิ่งลง 10.5%
ปธน.ทรัมป์ประกาศว่า วันที่ 2 เม.ย.จะเป็นวันแห่งการปลดปล่อย (Liberation Day) ของสหรัฐฯ โดยรัฐบาลสหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% รวมทั้งเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariff) ต่อทุกประเทศทั่วโลก ในวันดังกล่าว
ดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก พุ่งขึ้น 2.91% สู่ระดับ 22.28 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ ท่ามกลางความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบจากการทำสงครามการค้าของปธน.ทรัมป์
ความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากรทำให้โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ปรับเพิ่มโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเผชิญภาวะถดถอยเป็น 35% จากเดิม 20% พร้อมกับปรับลดเป้าหมายดัชนี S&P500 ในช่วงสิ้นปี 2568 ลงสู่ระดับ 5,700 จุด นอกจากนี้ โกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ เพื่อรับมือกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ หุ้น 7 บริษัทเทคโนโลยีที่มีมาร์เก็ตแคปสูง หรือกลุ่ม "Magnificent Seven" ซึ่งเคยเป็นปัจจัยหนุนตลาดอย่างคึกคักตั้งแต่ปี 2566 จนถึงปี 2567 ได้กลายเป็นหุ้นที่ฉุดตลาดในช่วงต้นปีนี้ เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นดังกล่าวออกมาอย่างหนัก โดยหุ้นเทสลา (Tesla) ร่วงลงเกือบ 36% ในไตรมาส 1/2568 และหุ้นอินวิเดีย (Nvidia) ดิ่งลงเกือบ 20%
หุ้นกลุ่มบริษัทผลิตยาร่วงลงเมื่อคืนนี้ หลังจากมีรายงานว่า ปีเตอร์ มาร์กส์ เจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านวัคซีนของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐฯ ได้ถูกบีบให้ลาออกจากตำแหน่ง โดยหุ้นโมเดอร์นา Moderna ร่วงลง 8.9% หุ้นโนวาแวกซ์ (Novavax) ส่วนหุ้นเทย์ชา จีน เทราพีส์ (Taysha Gene Therapies) และหุ้นโซลิด ไบโอซายส์ (Solid Biosciences) ซึ่งเป็นสองบริษัทด้านการบำบัดโรคด้วยพันธุกรรม (Gene Therapy) ร่วงลง 28% และ 14.4% ตามลำดับ
นักลงทุนจับตาเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ซึ่งจะกล่าวสุนทรพจน์ว่าด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในการประชุมประจำปีของ Society for Advancing Business Editing and Writing (SABEW) ที่เมืองอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย วันศุกร์ที่ 4 เม.ย. เวลา 11.25 น.ตามเวลาสหรัฐฯ หรือตรงกับเวลา 22.25 น.ตามเวลาไทย
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึง ดัชนีภาคการผลิตและภาคบริการเดือนมี.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐฯ (ISM), ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนก.พ., ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนมี.ค.จาก ADP และตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมี.ค.