ห้องเม่าปีกเหล็ก

‘หุ้นสหรัฐ’ แพงแต่ยัง ‘น่าลงทุน’

โดย จอมมาร
เผยแพร่ :
45 views

‘หุ้นสหรัฐ’ แพงแต่ยัง ‘น่าลงทุน’ ‘กูรู’ ยกอุตสาหกรรม-เทคโนโลยี ‘ดาวเด่น’

By อัญชลี สบายสุข

 

  • ตลาดหุ้นสหรัฐจะมีราคาแพง แต่นักวิเคราะห์มองว่ายังคงน่าลงทุน เนื่องจากมีปัจจัยบวกสนับสนุน เช่น แนวโน้มเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง, การเจรจาการค้าที่คลี่คลาย, และแนวโน้มการลดดอกเบี้ย
  • กลุ่มอุตสาหกรรมถูกยกให้เป็นภาคส่วนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดถึง 12.4% ซึ่งสะท้อนผลบวกจากนโยบายดึงฐานการผลิตกลับสู่สหรัฐ
  • กลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน AI ถูกมองว่าเป็นดาวเด่นที่จะยังคงเติบโตได้ดีจากรอบการลงทุนใหม่ทั่วโลก
  • ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เน้นการลงทุนเป็นรายกลุ่มหรือรายตัว โดยชี้ว่ากลุ่มการเงินและกลุ่มเทคโนโลยีเป็นกลุ่มที่น่าสนใจในระยะ 12 เดือนข้างหน้า

 

“ตลาดหุ้นสหรัฐ” ยังคงเป็นเป้าหมายการลงทุนที่ “น่าสนใจ” ของนักลงทุนทั่วทุกมุมโลก แม้ตลาดหุ้นสหรัฐจะถูกมองว่ามี “ราคาแพง” (Valuation ตึงตัว) แต่มี “ปัจจัยบวก” หลายประการที่สนับสนุนการเติบโต ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มเศรษฐกิจแข็งแกร่ง การลดดอกเบี้ย และการเติบโตของกลุ่มอุตสาหกรรม และเทคโนโลยีที่โดดเด่น

 

 

 

“กรุงเทพธุรกิจ” สอบถามมุมมองนักวิเคราะห์ตลาดทุน ต่างมองว่าในระยะ 12 เดือนข้างหน้า ตลาดหุ้นสหรัฐยังสามารถสร้าง “ผลตอบแทน” ที่น่าสนใจได้ แม้ภาพรวม Valuation จะยังตึงตัวอยู่ก็ตาม เน้นเลือกลงทุนรายกลุ่ม หรือรายตัว

“บดินทร์ พุทธอินทร์” ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า หุ้นสหรัฐยังคง “น่าสนใจ” แม้จะแพงมาโดยตลอด แต่จากการวิเคราะห์พบมีปัจจัยหลายประการที่ยังคงสนับสนุนการเติบโตต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่นอนด้านการค้าเริ่มลดลงชัดเจนตั้งแต่กลางเม.ย. ที่ผ่านมา และมีสัญญาณที่ดีขึ้นจากหลายประเทศเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าที่กำลังจะออกมา แม้บางประเทศยังไม่มีข้อตกลงสำเร็จ แต่โดยรวมออกมาดี

ขณะที่ นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า GDP สหรัฐในไตรมาส 2-3 และ 4 ปีนี้ จะมีการปรับประมาณการ “เพิ่มขึ้น” เทียบกับเดือนก่อนโดยคาด GDP สิ้นปีจะเติบโตได้ 1.5% เดิม 1.3% ทำให้มองได้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจไม่ได้ชะลอตัวอย่างที่หลายคนกังวล คาดธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะมีการลดดอกเบี้ยประมาณ 2 ครั้งในช่วงครึ่งหลัง และตลาดอาจคาดไปถึง 3 ครั้ง หากมีสถานการณ์ที่เพิ่มความไม่แน่นอน หรือความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐ 

ขณะที่ ผลประกอบการ S&P 500 ที่โดดเด่นปรับตัวขึ้นมาเกือบ 6% โดยรอบนี้กลุ่มอุตสาหกรรมเป็นภาคส่วนที่ให้ “ผลตอบแทนสูงสุด” ถึง 12.4% รองลงมาคือ กลุ่มบริการด้านการสื่อสาร และกลุ่มธนาคาร ซึ่งการที่กลุ่มอุตสาหกรรมนำตลาด สะท้อนความพยายามของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ในการดึงฐานผลิตกลับยังสหรัฐ หรือกระตุ้นให้ต่างประเทศลงทุนในสหรัฐ เริ่มเห็นผลและได้รับประโยชน์แล้ว

“ณัฐ ตรีพูนสุข” ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้ข้อมูลต่อว่า การปรับตัวขึ้นของหุ้นสหรัฐรอบนี้ขับเคลื่อนด้วย Valuation ไม่ใช่ Earnings สะท้อนถึงความ “คาดหวัง” ที่สูงมากจากนักลงทุนต่อการเติบโตของตลาด  

อย่างไรก็ตาม ยังเชื่อว่า “กลุ่มเทคโนโลยี” โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับ AI จะยังคงได้รับประโยชน์ เนื่องจากเป็นรอบลงทุนครั้งใหม่และมีขนาดใหญ่ทั่วโลก หากนักลงทุนสนใจซื้อหุ้นสหรัฐ ส่วนตัวชื่นชอบ Nasdaq มากกว่า S&P หรือหากเป็นไปได้ก็สามารถเลือกซื้อเป็นรายตัวได้

สำหรับทิศทางตลาดในอีก 12 เดือนข้างหน้า ควรพิจารณาเป็นรายตัวจะง่ายกว่า จากภาพรวมตัวเลขเศรษฐกิจโดยรวมสหรัฐอาจไม่สวยแต่บริษัทขนาดใหญ่ของสหรัฐมีรายได้ระดับโลก ดังนั้น การเกาะไปกับเมกะเทรนด์

“วิศกรณ์ คีรีวรรณ”, CFA นักกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย ให้ข้อมูลเสริมว่า หุ้นสหรัฐโดยรวมอยู่ในระดับที่ค่อนข้าง “ตึงตัว” และสูง โดยดัชนี S&P 500 อยู่ที่ 6,200 จุด หรือ ประมาณ +1SD ส่วน P/E อยู่ที่ประมาณ 24 เท่า และ forward P/E อยู่ที่ประมาณ 22 เท่า โดยนักลงทุนกังวลบริษัทต่าง ๆ อาจไม่สามารถผลักภาระต้นทุนที่เกิดจากภาษีนำเข้าไปยังผู้บริโภคได้

โดยปัจจุบันการปรับประมาณการ “กำไร” ไตรมาส 2-3 และ 4 ยังเกิดขึ้นน้อยมาก จากความกังวลเรื่องภาษีนำเข้า สิ่งสำคัญที่จะทำให้ดัชนีหุ้นสหรัฐ “ดูไม่แพง” คือ การออกรายงานผลประกอบการในช่วงกลางก.ค. นี้ หากมีการอัปเกรดกำไรทุก ๆ 5% อัปไซด์ของดัชนี S&P 500 จะเพิ่มขึ้นทีละ 300 จุด 

โดยการเติบโตในหุ้นสหรัฐจะเน้นที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่มี “ศักยภาพ” การเติบโตกำไรสูง ควรเน้นการเลือก “รายกลุ่ม” และหาจังหวะเข้าลงทุน หากกำไรมีการอัปเกรดและตลาดเริ่มย่อตัวลงมา ซึ่งกลุ่มที่น่าสนใจ คือ กลุ่มการเงิน ซึ่งในระยะ 12 เดือนข้างหน้ากลุ่มดังกล่าวจะได้รับประโยชน์โดยตรงจากการลดหย่อนกฎเกณฑ์เรื่องเงินกองทุนสำรอง การที่อัตราดอกเบี้ยลงช้า และการปลดล็อกกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ทำให้ธนาคารสามารถจ่ายปันผลและซื้อหุ้นคืนได้มากขึ้น โดยกฎเกณฑ์มีความยืดหยุ่นและยังมีการลดภาษีด้วย “กลุ่มเทคโนโลยี” ในปีนี้แม้จะมีประเด็นภาษี และการเติบโตที่ช้าลงในภาพรวม แต่กลุ่มเทคโนโลยีกลับมีการเติบโตที่ดี 

 

 

ที่มา… https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1188801

 


จอมมาร