ทำไม "ทองคำ" อาจทะยานสู่ $3,800 ในยุคที่โลกไม่สงบสุข!
ราคาทองคำยังคงสร้างความเคลื่อนไหวที่น่าจับตาไม่เว้นวัน ล่าสุดราคาทองคำในประเทศก็ได้ทุบสถิติสูงสุดครั้งใหม่ ซึ่งการพุ่งทะยานนี้เป็นสัญญาณที่ตอกย้ำว่า บทบาทของทองคำในวันนี้ได้เปลี่ยนไปจากอดีตโดยสิ้นเชิง มันไม่ใช่แค่โลหะมีค่าหายากหรือวัตถุดิบสำหรับเครื่องประดับอีกต่อไป
เพื่อทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้อย่างถ่องแท้ เราจะไปสำรวจมุมมองของคุณกวี ชูกิจเกษม ประธานเจ้าหน้าที่ สายการบริหารพอร์ตการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) โดยจะเริ่มต้นจากการปูพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ ก่อนจะเจาะลึกถึงปัจจัยร่วมสมัยที่ผลักดันให้ทองคำกลายเป็น ‘สกุลเงินสำรอง’ ท่ามกลางวิกฤตศรัทธาในเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก
------

ย้อนรอยประวัติศาสตร์: จาก ‘เงินตรา’ สู่ ‘สินทรัพย์หลบภัย’
เพื่อที่จะเข้าใจบทบาทใหม่ของทองคำ เราต้องมองย้อนกลับไปในอดีต ทองคำไม่ใช่แค่ "สินทรัพย์" แต่เคยมีสถานะเป็น ‘เงินตรา’ ที่แท้จริงมานับพันปี ในยุคของ ‘มาตรฐานทองคำ’ (Gold Standard) มูลค่าของสกุลเงินแต่ละประเทศจะถูกผูกไว้กับทองคำโดยตรง นั่นหมายความว่ารัฐบาลไม่สามารถพิมพ์เงินออกมาได้ตามใจชอบ แต่ต้องมีทองคำสำรองค้ำประกันไว้
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายใต้ข้อตกลงเบรตตันวูดส์ (Bretton Woods Agreement) ซึ่งสถาปนาให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นศูนย์กลางของระบบการเงินโลก โดยดอลลาร์เป็นสกุลเงินเดียวที่ยังคงผูกติดกับทองคำ ขณะที่สกุลเงินอื่นผูกกับดอลลาร์อีกทอดหนึ่ง
ทว่าในปี 1971 ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ได้ประกาศยกเลิกการผูกค่าเงินดอลลาร์กับทองคำ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Nixon Shock” เหตุการณ์นี้ทำให้โลกเข้าสู่ยุคของ ‘เงินเฟียต’ (Fiat Currency) อย่างเต็มรูปแบบ ที่มูลค่าของเงินไม่ได้ขึ้นอยู่กับสินทรัพย์ใด ๆ นอกจากความน่าเชื่อถือของรัฐบาลผู้ออกสกุลเงินนั้น ๆ และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทองคำค่อย ๆ ถูกลดบทบาทลง เหลือเพียงสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ จนกระทั่งวันนี้ ที่ประวัติศาสตร์กำลังจะหมุนกลับมาอีกครั้ง
------
เมื่อทองคำไม่ใช่แค่ ‘เครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อ’ อีกต่อไป
นักลงทุนรุ่นเก๋าคุ้นเคยกับการมองทองคำในฐานะเกราะป้องกันเงินเฟ้อ ที่ให้ผลตอบแทนราว 3-5% ต่อปี แต่คุณกวี ชูกิจเกษม ย้ำว่าทัศนคตินี้ใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
“วันนี้ทองคำไม่ได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือสำหรับป้องกันเงินเฟ้อเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่มีสถานะเป็นสกุลเงินหนึ่งที่เข้ามาทดแทนสกุลเงินอื่นซึ่งกำลังสูญเสียมูลค่า...”
การเปลี่ยนสถานะจาก ‘เกราะป้องกัน’ สู่ ‘สกุลเงินทางเลือก’ นี้ มีแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการเสื่อมถอยของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่กำลังเผชิญกับภาวะขาดดุลรอบด้าน ทั้งดุลงบประมาณ, ดุลการค้า, ดุลบัญชีเดินสะพัด และดุลบริการ เมื่อเงินไหลออกจากประเทศมากกว่าไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง ความเชื่อมั่นต่อสกุลเงินดอลลาร์จึงสั่นคลอนอย่างรุนแรง
ประกอบกับเทรนด์ De-dollarization ที่หลายประเทศพยายามลดการพึ่งพิงเงินดอลลาร์ในการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในตลาดพลังงาน เมื่อความต้องการดอลลาร์ลดลง แต่ปริมาณดอลลาร์ในระบบกลับเพิ่มขึ้นจากการพิมพ์เงินมหาศาล มูลค่าของมันจึงอ่อนค่าลงตามกลไกตลาด ทองคำจึงไม่ใช่แค่สินทรัพย์ที่วิ่งไล่ตามราคาสินค้าที่สูงขึ้น (เงินเฟ้อ) แต่กลายเป็นสินทรัพย์ที่วิ่งหนีการเสื่อมค่าของสกุลเงินหลักของโลก
------
โลกที่ไร้ความสงบ: เชื้อไฟชั้นดีที่ผลักดันทองคำ
ปัจจัยที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงนี้รุนแรงและรวดเร็วยิ่งขึ้น คือความตึงเครียดเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ดังที่คุณกวีให้ทัศนะไว้ว่า “นับจากวันนี้เป็นต้นไป เราจะหาความสงบในโลกได้ยากขึ้น ทองคำจึงกลายเป็นสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์” ความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นทั่วโลก ตั้งแต่สงครามจริงไปจนถึงสงครามการค้า ทำให้โลกกำลังเปลี่ยนผ่านจากระเบียบโลกขั้วเดียว (Unipolar) ที่มีสหรัฐฯ เป็นผู้นำ ไปสู่ระเบียบโลกหลายขั้ว (Multipolar)
สิ่งที่น่าจับตาคือ การรวมตัวกันของกลุ่มประเทศ BRICS ที่ไม่ได้เป็นแค่การจับมือกันหลวม ๆ อีกต่อไป คุณกวีได้ยกตัวอย่างที่ทรงพลังเพื่อชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปของขั้วอำนาจโลก นั่นคือภาพที่ผู้นำอินเดีย (นเรนทรา โมดี) ขึ้นไปนั่งในรถคันเดียวกับผู้นำรัสเซีย (วลาดีมีร์ ปูติน) ซึ่งโดยปกติแล้วในธรรมเนียมทางการทูตจะไม่มีทางเกิดขึ้น การกระทำเช่นนี้จึงเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงความเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง เพื่อร่วมกันท้าทายอำนาจของสหรัฐอเมริกา
"สถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์อีกต่อไป แต่ได้กลายมาเป็นเรื่องความไม่มั่นคงและความไม่ปลอดภัยของโลกโดยตรง เมื่อเกิดสภาวะเช่นนี้ ทองคำจึงเป็นทางเลือกสำคัญในการถือครองเพื่อเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต"
ในสภาวะเช่นนี้ ทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่เป็นกลาง ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของชาติใดชาติหนึ่ง จึงกลายเป็นสินทรัพย์หลบภัยขั้นสูงสุดที่ทุกประเทศต้องมีไว้ในทุนสำรอง
------
เป้าหมายที่ท้าทาย เมื่อ Technical Analysis ชี้เป้า $3,800
ในมุมมองของคุณกวี การประเมินมูลค่าทองคำนั้นแตกต่างจากหุ้น เพราะ “ทองคำไม่มีกระแสเงินสดให้เราสามารถคำนวณหามูลค่าที่แท้จริง (Valuation) ได้เลย” ดังนั้น การวิเคราะห์ทางเทคนิคจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยจะมีความแม่นยำสูงกับสินทรัพย์ที่มีการซื้อขายทั่วโลกและมีสภาพคล่องมหาศาลอย่างทองคำ เพราะการปั่นราคา (manipulate) ทำได้ยาก ดังนั้นจากกราฟทางเทคนิค เขาจึงมองเป้าหมายถัดไปอย่างชัดเจน
“ตั้งแต่ตอนที่ราคาทองคำทำจุดสูงสุดใหม่ (New High) ผมไม่ได้มองแค่ $3,500 แต่ผมมองไปถึง $3,800”
อย่างไรก็ตาม แม้จะมั่นใจในทิศทางขาขึ้น แต่หัวใจของการลงทุนในยุคนี้คือการบริหารความเสี่ยง คุณกวี ซึ่งเป็นนักลงทุนสายเน้นคุณค่า (VI) ได้แบ่งปันหลักการส่วนตัวว่า เขาจะลงทุนในทองคำในสัดส่วน “ไม่เกิน 10% ของพอร์ต” เท่านั้น
“ในช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูงเช่นนี้ การกระจายความเสี่ยงคือสิ่งที่ดีที่สุด”
เขายังได้ยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม โดยเล่าถึงตอนที่หุ้นโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) ราคาขึ้นไปสูงจนมีสัดส่วนในพอร์ตมากเกินไป เขาจึงตัดสินใจลดสัดส่วนลงมา ซึ่งหลักการเดียวกันนี้จะถูกนำมาใช้กับทองคำเช่นกัน หากราคาพุ่งไปถึง $3,800 จริง ๆ เขาอาจพิจารณา “ลดสัดส่วนทองคำจาก 10% ลงมาเหลือ 5% ก็เป็นได้” เพื่อควบคุมความเสี่ยงและรักษาสมดุลของพอร์ต
ท้ายที่สุดนี้ ข้อคิดสำคัญยังคงเหมือนเดิม นั่นคือการลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง และระลึกเสมอว่าท่ามกลางโอกาสที่น่าตื่นเต้น การควบคุมสัดส่วนการลงทุนและมีวินัยในการบริหารความเสี่ยง คือกุญแจสำคัญที่สุดในการเดินทางผ่านความผันผวนของโลกยุคใหม่นี้ไปได้อย่างยั่งยืน
คุณคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ สามารถแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนกันได้เลย
ที่มาเนื้อหา. Business Tomorrow