ห้องเม่าปีกเหล็ก

เผยยุทธศาสตร์ 5 แบงก์ยักษ์ พร้อมรับมือความผันผวนปี 64

โดย OttO
เผยแพร่ :
83 views

เผยยุทธศาสตร์ 5 แบงก์ยักษ์ พร้อมรับมือความผันผวนปี 64

แบงก์คาดปี 64 แม้เศรษฐกิจจะฟื้นตัวแต่ยังมีความผันผวนสูงวางยุทธศาสตร์พร้อมรับมือ กรุงเทพต่อยอดธนาคารแห่งภูมิภาค เชื่อภูมิภาคอาเซียนจะขับเคลื่อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกหลังโควิด-19 กสิกรไทยบุกบริการลงทุน-ประกันเข้าถึงกลุ่มลูกค้ารายย่อยไทยพาณิชย์รุกธุรกิจ Wealth ควบคู่กับการลดต้นทุนกรุงไทยเกาะติดกลุ่มภาครัฐต่อยอดการเงินดิจิทัล กรุงศรีเชื่อมโยงความต้องการของลูกค้าทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน

BBL ต่อยอดธนาคารแห่งภูมิภาค

ชี้อาเซียนขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก

นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรงในปี 2563 คือ วิกฤติการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 โดยสามารถแบ่งการปรับตัวออกได้เป็น 3 ช่วง

ช่วงแรก เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่สองของโลกที่พบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่า ทำให้เราได้รับผลกระทบก่อนประเทศอื่นๆ โดยการระบาดในช่วงนี้ได้ส่งผลที่ชัดเจนที่สุดต่อภาคการท่องเที่ยว ภาคการส่งออก และห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมการผลิต การที่รัฐบาลดำเนินมาตรการอย่างเข้มงวดเพื่อควบคุมการระบาดในเดือนมีนาคมต่อเนื่องถึงเดือนเมษายน 2563 ได้ส่งผลให้ภาคธุรกิจหลายๆ ส่วน ต้องชะลอหรือหยุดการดำเนินกิจการเป็นการชั่วคราว อีกทั้งยังทำให้คนจำนวนหนึ่งต้องทำงานอยู่ที่บ้านด้วยเหตุนี้ GDP ของไทยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 จึงติดลบมากถึง 12.1%

สำหรับในช่วงล็อกดาวน์ดังกล่าวธนาคารกรุงเทพมุ่งเน้นการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิดและให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ด้วยมาตรการต่างๆ เช่น การผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้การงดเว้นดอกเบี้ยเป็นการชั่วคราว และการสนับสนุนสภาพคล่องเพิ่มเติมตามความจำเป็น

ช่วงที่สอง หลังจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่ารายใหม่เริ่มลดลง รัฐบาลได้ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว ธุรกิจบางส่วนสามารถกลับมาดำเนินกิจการได้ตามปกติ โดยการค้าชายแดนมีปริมาณเพิ่มขึ้นตามลำดับ และการส่งออกของไทยจากที่มีมูลค่าติดลบร้อยละ 22.5 ในเดือนพฤษภาคม เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วฟื้นตัวกลับมาติดลบเพียงร้อยละ 3.9 ในเดือนกันยายน (ข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย)

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่สนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เช่น มาตรการช่วยเหลือทางการเงินของรัฐบาล สำหรับทั้งผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไป ขณะที่เศรษฐกิจของจีนก็ได้ฟื้นตัวเร็วกว่าคาด ส่งผลต่อเนื่องให้ภาคอุตสาหกรรมของไทยหลายส่วนฟื้นตัวตามไปด้วยอย่างไรก็ตาม เนื่องจากเศรษฐกิจโลกโดยรวมยังคงชะลอตัวอีกทั้งมาตรการปิดพรมแดนที่ยังคงมีผลอยู่ ทำให้การท่องเที่ยวจากต่างประเทศยังไม่สามารถกลับมาได้ กระทบต่อเศรษฐกิจไทยในวงกว้าง ดังนั้น แม้ GDP ของไทยในไตรมาสที่สามของปี 2563 จะดีขึ้นมากจากไตรมาสที่สอง แต่ก็ยังหดตัวร้อยละ 6.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ช่วงที่สาม คือ ช่วงที่ภาคส่วนต่างๆ ของระบบเศรษฐกิจและสังคม เริ่มปรับตัวให้สอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจเรียกช่วงนี้ว่าเป็นการปรับตัวเข้าสู่ New Normal หรือ ชีวิตวิถีใหม่ซึ่งเราคงต้องยอมรับว่า การดำเนินชีวิตของทุกคนจะไม่มีวันกลับไปสู่สภาพที่เคยเป็นในปี 2562 หรือก่อนหน้านั้นโดยชีวิตวิถีใหม่ นอกจากจะเป็นผลพวงโดยตรงจากการระบาดของโรคโควิด 19 แล้ว ยังมีปัจจัยเร่งที่สำคัญอีกประการหนึ่ง นั่นคือ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัล ที่ทวีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น ต่อวิถีชีวิตและการดำเนินธุรกิจของทุกคน ซึ่งทำให้ภาคธุรกิจจะต้องปรับตัวให้พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่

ทั้งนี้ แม้ภาคธุรกิจบางส่วนยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวในระยะสั้น โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ยังมีหลายภาคธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์จากสถานการณ์โรคระบาดและกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด เช่น อุตสาหกรรมการผลิตเวชภัณฑ์การค้าอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเกษตรและผลิตอาหาร เป็นต้น

สำหรับปี 2564 แม้เราจะเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์บ้าง จากข่าวดีเรื่องวัคซีน ธนาคารมองว่าจะเป็นอีกปีหนึ่งที่เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างมาก ภาคธุรกิจแทบทั้งหมดยังจำเป็นที่จะต้องลดหรือควบคุมค่าใช้จ่ายให้ได้และอาจมีปัจจัยความท้าทายใหม่ๆ ที่มาจากต่างประเทศ ขณะที่ความเสี่ยงจากการระบาดซ้ำของโรคโควิด 19 ในไทยรวมทั้งการที่เชื้อไวรัสโควิดจะกลายพันธุ์ก็ยังคงมีอยู่

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเกี่ยวกับภาคธุรกิจเอสเอ็มอีของไทย ที่บางส่วนยังมีความเปราะบางและไม่สามารถไปต่อได้ในสภาวะแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย ซึ่งอาจต้องปิดกิจการ ลดการจ้างงาน ส่งผลกระทบขยายวงต่อเนื่องได้

อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่ายินดีว่ารัฐบาลยังคงมุ่งหน้าผลักดันโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor - EEC) โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Southern Economic Corridor - SEC) รวมทั้งโครงการระบบสาธารณูปโภคขนาดใหญ่อื่นๆซึ่งจะเอื้ออำนวยให้ประเทศไทยสามารถเชื่อมโยงกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ได้ดียิ่งขึ้นโครงการพัฒนาต่างๆ ดังกล่าวจะเอื้ออำนวยให้ประเทศในภูมิภาคนี้สามารถเชื่อมโยงถึงกันได้อย่างทั่วถึงซึ่งจะเกื้อหนุนการค้าและการลงทุนส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วอาเซียนเจริญเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว

โดยในปี 2564ธนาคารตั้งเป้าหมายว่า การเติบโตของสินเชื่อโดยรวมจะสอดคล้องกับการเติบโตของ GDP ของประเทศ นั่นก็คือประมาณ 4%ทั้งนี้เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในระบบยังอยู่ในระดับต่ำมาก ดังนั้นธนาคารจึงให้ความสำคัญกับการขยายฐานรายได้จากค่าธรรมเนียม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านบริการ Cash Management บริการ Bancassurance และบริการกองทุนรวม

สำหรับยุทธศาสตร์ของธนาคารสำหรับปี 2564 นายชาติศิริ กล่าวว่า ธนาคารมุ่งเน้นการสร้างประโยชน์ต่อยอดจากจุดแข็งเดิมของธนาคาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเป็นธนาคารไทยที่มีเครือข่ายสาขาต่างประเทศที่ครอบคลุมกว้างขวางที่สุด ธนาคารเชื่อมั่นว่า ภูมิภาคอาเซียนจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกหลังจากการระบาดของโรคโควิด 19 สงบลง โดยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเป็นทางเลือกใหม่สำหรับการตั้งฐานการผลิต และซัพพลายเชน แทนที่ประเทศอินเดียและประเทศจีน

ธนาคารกรุงเทพ ในฐานะธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับ 6 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และธนาคารชั้นนำที่มีเครือข่ายสาขาที่ครอบคลุมกว้างขวางทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชีย และมีบริการทางการเงินครอบคลุมหลากหลาย มีความพร้อมที่จะสร้างประโยชน์ และทำธุรกิจจากโอกาสใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นทั่วภูมิภาค

ทั้งนี้ การที่ธนาคารได้ควบรวมธนาคารเพอร์มาตา ประเทศอินโดนีเซีย เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มธุรกิจการเงินของธนาคารในปี 2563 และส่งผลให้เครือข่ายสาขาต่างประเทศของธนาคาร ขยายตัวอย่างก้าวกระโดด จะเสริมสร้างจุดแข็งด้านต่างประเทศของธนาคารให้โดดเด่นยิ่งขึ้น

ปัจจุบัน ธนาคารเพอร์มาตา เป็น 1 ใน 10 ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย ตามมูลค่าของสินทรัพย์รวม การที่ธนาคารควบรวมธนาคารเพอร์มาตาเข้ามาอยู่ในครอบครัวบัวหลวง ถือเป็นการดำเนินการทางยุทธศาสตร์ที่จะส่งผลให้ฐานธุรกิจของธนาคารมีการกระจายตัวกว้างขวางขึ้น อีกทั้ง ยังจะเปิดโอกาสให้ธนาคารกรุงเทพสามารถขยายธุรกิจในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีประชากรกว่า 270 ล้านคน และเศรษฐกิจจะเติบโตได้อีกมาก

ในขณะเดียวกัน ก็จะทำให้ธนาคารสามารถให้บริการทางการเงินที่กว้างขวางครอบคลุมยิ่งขึ้นแก่ลูกค้าในอินโดนีเซียและประเทศอื่นๆ ที่มีเครือข่ายสาขาของธนาคารกรุงเทพปัจจุบัน สินเชื่อในต่างประเทศของธนาคารกรุงเทพมีสัดส่วน 25% ของสินเชื่อรวม

 

เดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยี

หนุนธุรกรรมดิจิทัลเชื่อมโลก

นายชาติศิริ กล่าวว่า ธนาคารจะยังคงพัฒนาระบบเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องในปี 2564 นี้ โดยเฉพาะเทคโนโลยี Distributed Ledger หรือ Blockchain เพื่อสนับสนุนลูกค้าที่ค้าขายกับคู่ค้าทั่วโลก ให้สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย

ธนาคารกรุงเทพได้ร่วมกับลูกค้าที่ดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศ พัฒนาการทำธุรกรรมเปิด L/C ระหว่างประเทศไทยกับประเทศเวียดนาม ด้วยเทคโนโลยีล่าสุดบน Beta Network ของ Contour ซึ่งเป็นบริษัทที่ร่วมก่อตั้งโดยธนาคารกรุงเทพ กับธนาคารและองค์กรชั้นนำของโลก เพื่อการให้บริการด้านการค้าระหว่างประเทศ (Trade Finance) โดยใช้ Enterprise Blockchain Platform ซึ่งสามารถลดระยะเวลาการเปิด L/C เหลือเพียง 1 ชั่วโมง และช่วยให้การเรียกเก็บเงินตาม L/C จากผู้ซื้อ ไม่ต้องส่งเอกสารที่เป็นกระดาษจำนวนมากระหว่างกัน และลดเวลาในการเรียกเก็บและชำระเงินจากเดิม 3 สัปดาห์ เหลือเพียง 24 ชั่วโมง

ทั้งนี้ เนื่องจากลูกค้า คู่ค้าและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะได้รับข้อมูลการทำธุรกรรมจากระบบในเวลาเดียวกันแบบ Real-time กระบวนการทำธุรกรรมที่โปร่งใส เชื่อถือได้ และมีความปลอดภัยสูง จะช่วยให้ลูกค้าสามารถดำเนินธุรกิจกับคู่ค้าทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยในปี 2562 ธนาคารได้ทดลองให้บริการในลักษณะเดียวกันแก่ลูกค้าที่มีธุรกรรมระหว่างประเทศไทยกับประเทศอินโดนีเซียได้สำเร็จเช่นกัน

นอกจากนี้ ธนาคารยังเน้นความสำคัญของบริการ Cash Management ที่จะรองรับการเชื่อมต่อกับระบบของลูกค้าและพันธมิตร เพื่อช่วยให้การดำเนินธุรกิจของลูกค้าและพันธมิตรมีประสิทธิภาพสูงขึ้น สอดคล้องกับแนวโน้มของตลาดธนาคารจะพัฒนาต่อยอดจากความสัมพันธ์กับลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และขนาดกลาง โดยขยายการให้บริการของธนาคารให้เข้าถึงฐานลูกค้าของบริษัทต่างๆ เหล่านี้

“จะเห็นได้จากการร่วมมือกับเทสโก้โลตัส และเซเว่น-อีเลฟเว่น เพื่อให้บริการ Banking Agent เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถฝากและถอนเงินในจุดบริการใกล้บ้านนอกเวลาเปิดทำการของสาขาธนาคาร ซึ่งลูกค้ายังจะสามารถถ่ายภาพใบหน้าของตนเองสำหรับใช้แสดงตน รวมถึงสำหรับการเปิดบัญชีออนไลน์ได้อีกด้วย”

นายชาติศิริ กล่าวว่า ในปีนี้ธนาคารจะมีความร่วมมือกับพันธมิตรรายอื่นๆ อีกเพื่อเพิ่มจุดให้บริการร่วมกับ Banking Agent ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นการสนับสนุนนโยบาย Financial Inclusion ของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มุ่งขยายบริการทางการเงินให้เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่ม

เนื่องจากลูกค้าเลือกทำธุรกรรมทางการเงินพื้นฐานผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น พนักงานในด่านหน้าของธนาคารจึงได้รับการพัฒนาทักษะในการให้บริการทางการเงินเฉพาะด้านมากขึ้น เช่น Financial Planning, Wealth Management และบริการด้านการลงทุนต่างๆ ในขณะเดียวกัน ธนาคารได้พัฒนาเทคโนโลยี Big Data เพื่อจำแนกกลุ่มลูกค้าตามความต้องการได้อย่างแม่นยำและเป็นปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยให้เจ้าหน้าที่ของธนาคารสามารถนำเสนอบริการแบบเฉพาะเจาะจงและมีประสิทธิภาพสำหรับลูกค้าแต่ละราย

โดยธนาคารยังคงดำเนินการตามแผนงาน Digital Transformation อย่างต่อเนื่อง ซึ่งครอบคลุม 4 ด้านหลัก คือ

  1.        การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของระบบเทคโนโลยี เพื่อประสิทธิภาพของระบบงานบริการทั้งองค์กร เช่น บริการด้านการชำระเงิน บริการสำหรับลูกค้าบุคคล บริการสำหรับลูกค้าธุรกิจทุกขนาด รวมถึงลูกค้าของสาขาต่างประเทศ ระบบงานรองรับการทำธุรกรรมจากลูกค้าโดยตรง (Straight Through Processing) เป็นต้น
  2.        การพัฒนาสถาปัตยกรรมดิจิทัลและระบบนิเวศ เพื่อให้ระบบงานของธนาคารสามารถเชื่อมต่อกับระบบของลูกค้าและพันธมิตรได้อย่างราบรื่น มีประสิทธิภาพเต็มที่ และมีความปลอดภัยสูง
  3.        การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล เพื่อปกป้องข้อมูลสำคัญทั้งของธนาคาร ลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน ที่ต้องมีการเชื่อมต่อระบบงานถึงกัน การเก็บรักษาข้อมูลใน Cloud รวมถึงการทำงานนอกสถานที่ของบุคลากร
  4.         การวิจัยและพัฒนาเพื่อยกระดับความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล รวมถึงการพัฒนาบุคลากรที่ทำงานเกี่ยวกับ ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI และ Big Data รวมทั้งการพัฒนา Data Lake เพื่อสำหรับการดำเนินธุรกิจในยุคต่อไป

นอกจากนี้ ธนาคารยังมีการดำเนินธุรกิจภายใต้นโยบายการธนาคารที่มีความรับผิดชอบหรือ Responsible Banking Policy โดยมุ่งเน้นการให้สินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ ซึ่งให้ความสำคัญเพิ่มเติมกับการนำประเด็นด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม รวมทั้งความเสี่ยงอื่นๆ มาเป็นข้อมูลประกอบในการพิจารณาให้สินเชื่อ

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา โครงการขนาดใหญ่ที่ธนาคารให้สินเชื่อ ล้วนต้องผ่านการพิจารณาประเด็นความยั่งยืนและการประเมินความเสี่ยงที่อาจมีผลกระทบในเชิงสังคมและสิ่งแวดล้อม ในปัจจุบัน ธนาคารได้กำหนดนโยบาย และแนวปฏิบัติตามมาตรฐานในการดูแลสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล (Environmental, Social and Governance Standards) ให้ทุกหน่วยงานสินเชื่อของธนาคารนำไปปฏิบัติ ซึ่งส่งผลให้ลูกค้าของธนาคารในทุกภาคธุรกิจ ต้องดำเนินธุรกิจเพื่อมุ่งสู่ความยั่งยืน

โดยธนาคารมีบทบาทในการชี้นำผ่านนโยบายการพิจารณาสินเชื่อดังจะเห็นได้จากการปรับตัวของอุตสาหกรรมพลังงาน ที่ธนาคารกรุงเทพเป็นผู้สนับสนุนสินเชื่อรายสำคัญ ซึ่งปรากฏว่าผู้ประกอบการมีแนวโน้มที่จะพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น เช่น โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศลาว โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลในประเทศไทย โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมและแสงอาทิตย์ในประเทศไทยและเวียดนาม รวมทั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่น และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากใต้ดินในประเทศอินโดนีเซีย

ธนาคารยังสนับสนุนอุตสาหกรรมผลิตยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า โครงการเส้นทางการขนส่งทางราง การนำวัสดุพลาสติกมารีไซเคิล และการผลิตสายเคเบิลไฟเบอร์ออปติก สำหรับใช้ในงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและเครือข่ายสื่อสาร ภายใต้โครงการเส้นทางสายไหมศตวรรษที่ 21 หรือ Belt and Road Initiatives

แนวโน้มที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยคือการระดมเงินทุนสำหรับลงทุนในธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความยั่งยืน โดยในปี 2563 มีบริษัทต่างๆ ออกพันธบัตรสีเขียว หรือ Green Bonds รวม 6 รายการ ซึ่งธนาคารได้มีส่วนร่วมในการจัดจำหน่ายพันธบัตรดังกล่าวแทบทุกรายการ อีกทั้งธนาคารยังได้สนับสนุนกระทรวงการคลังในการระดมทุนจำนวน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) เป็นครั้งแรกอีกด้วย

ทั้งนี้ ธนาคารจะได้เพิ่มความสามารถของเครื่องเอทีเอ็มให้รองรับการใช้บริการของผู้พิการทางสายตาเป็นธนาคารแรก โดยระบบจะมีเสียงพูดที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถถอนเงินได้อย่างถูกต้องตลอดการทำรายการ นอกจากนี้ ธนาคารตระหนักดีว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นปัจจัยหนึ่งที่ฉุดรั้งการพัฒนาประเทศ ธนาคารจึงมุ่งแก้ปัญหานี้ตั้งแต่ต้นทาง ด้วยการให้ความรู้และสร้างความเข้าใจเรื่องการออมแก่เยาวชน ตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาถึงอุดมศึกษา

ซึ่งธนาคารได้ดำเนินโครงการ “คนไทยยุคใหม่...ใส่ใจเรื่องเงิน” ร่วมกับสมาคมธนาคารไทยเป็นปีที่สาม ในปี 2563 โดยมีวิทยากรอาสาสมัคร ซึ่งเป็นผู้บริหารและพนักงานของธนาคารเข้าร่วมให้ความรู้แก่นักศึกษาในสถาบันการศึกษาต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยรังสิต มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยธนาคารจะดำเนินโครงการให้ความรู้และสร้างความตระหนักเรื่องการออมสำหรับนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาด้วยหลักสูตร Saving and Services หรือ 2S’s ที่ธนาคารพัฒนาขึ้นเอง เพื่อให้ครอบครัวคนไทยมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

Kbank ชี้ปี 64 แม้ฟื้นตัว

แต่ความไม่แน่นอนยังสูง

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย (Kbank) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2564 มีแนวโน้มฟื้นตัวเป็นบวกอย่างช้าๆ ที่ 2.6%(กรอบ 0.0-4.5%) โดยการใช้จ่ายของภาครัฐ ทั้งการบริโภคและการลงทุนจะยังมีบทบาทสำคัญในการหนุนเศรษฐกิจ ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐก็ยังมีความจำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่อง โดยประเมินว่างบประมาณภาครัฐที่เหลือจาก พ.ร.ก. เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท รวมกับพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 มีจำนวนราว 5 แสนล้าน จะยังเพียงพอที่จะประคับประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปีหน้า

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าทิศทางเศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มฟื้นตัวเป็นบวก แต่ก็อยู่บนความไม่แน่นอนจากปัจจัยหลัก ดังนี้

  1. สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสครั้งใหม่ในประเทศ ตลอดจนความเพียงพอและการเข้าถึงวัคซีนป้องกัน COVID-19 รวมถึงประสิทธิผลของวัคซีน โดยปัจจุบัน จำนวนวัคซีนที่ประเทศไทยมีการสั่งจองแล้วรวมถึงที่อาจมีตามมาในอนาคต ยังมีอย่างจำกัด โดยครอบคลุมประชากรในประเทศไม่เกิน 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ทั่วโลก ยังไม่คลี่คลาย ซึ่งกว่าวัคซีนจะมีผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ คงต้องใช้เวลา ดังนั้น แนวทางการเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยคงจะทยอยทำได้อย่างช้าๆ หรือในช่วงครึ่งปีหลังเป็นอย่างเร็ว
  2. ทิศทางการแข็งค่าของเงินบาท ตามแรงหนุนของปัจจัยพื้นฐานจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลเข้าไทย ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีทิศทางอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องจากการขาดดุลการคลังและดุลบัญชีเดินสะพัด รวมถึงมาตรการผ่อนคลายทางการเงินอย่างมากของเฟด

ในขณะที่ การที่ไทยเข้าไปอยู่ในบัญชี Monitoring List ของกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ยิ่งทำให้โจทย์การแข็งค่าของเงินบาทมีความซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะค่าเงินบาทที่แข็งค่าและมีแนวโน้มผันผวนมากขึ้น ย่อมส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย

“ท่ามกลางทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ที่ยังมีความไม่แน่นอนต่างๆ ดังกล่าว ทำให้สถานะของลูกหนี้ และความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจและครัวเรือนหลังจากออกมาตรการช่วยเหลือทางการเงิน ยังคงเป็นโจทย์สำคัญของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งนับว่าเป็นความท้าทายในการดูแลเรื่องคุณภาพหนี้ รวมถึงการหาแนวทางแก้ไขปัญหาหรือแนวทางให้คำแนะนำแก่ลูกค้าธนาคารที่เหมาะสมในระยะถัดไป”

 

เผยยุทธศาสตร์ขับเคลื่อน

มุ่งเติบโตธุรกิจ-ตอบโจทย์ลูกค้า

สำหรับยุทธศาสตร์ธนาคารกสิกรไทยในปี 2564 นางสาวขัตติยา กล่าวว่า จากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคและภาวะเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ธนาคารกสิกรไทยจึงมีการทบทวนทิศทางและแผนยุทธศาสตร์ของธนาคาร โดยยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นธนาคารแห่งความยั่งยืน (Bank of Sustainability) โดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centricity) ในการดำเนินธุรกิจ และมีจุดมุ่งหมายในการเพิ่มอำนาจให้ทุกชีวิตและธุรกิจของลูกค้าในทุกๆกลุ่ม ซึ่งมียุทธศาสตร์เพื่อการเติบโตทางธุรกิจและตอบโจทย์ลูกค้า (Growth Strategy) ดังต่อไปนี้

  1.         เป็นผู้นำในการให้บริการชำระเงินทางดิจิทัล (Dominate Consumer Digital Payment) เพื่อเข้าถึงและให้บริการลูกค้าในสถานที่และเวลาที่ลูกค้าต้องการ รวมถึงได้ข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่เหมาะสมแก่ลูกค้าต่อไป ผ่านการยกระดับ K PLUS ให้เป็นดิจิทัลแพลตฟอร์มในการชำระเงินในทุกรูปแบบและช่องทาง รวมถึงการไปอยู่ใน Ecosystem ต่างๆ ของลูกค้า และพัฒนานวัตกรรมการรับชำระเงินรูปแบบใหม่ทั้งในและระหว่างประเทศทำให้ลูกค้าเห็นทั้งข้อมูลการเงิน ข้อมูลธุรกรรมทางธุรกิจและการส่งมอบสินค้าเพื่อให้ลูกค้ามั่นใจและส่งเสริมการทำธุรกิจของลูกค้าได้
  2.          ยกระดับการปล่อยสินเชื่อทั้งด้านธุรกิจและบุคคล (Reimagine Commercial & Consumer Lending) เพื่อช่วยเหลือลูกค้าในการดำเนินชีวิตและธุรกิจ รวมถึงสร้างรายได้เพิ่มแก่ธนาคาร บนความเสี่ยงที่คุ้มค่า ผ่านการใช้ข้อมูลและดิจิทัลมาเจาะกลุ่มลูกค้าสินเชื่อรายย่อย การพิจารณาราคาตามความเสี่ยงของลูกค้า การนำข้อมูลธุรกรรมทางธุรกิจที่ได้จากคู่ค้าใน Value Chain มาวิเคราะห์เพื่อหาลูกค้าที่มีทั้งความสนใจและมีความสามารถในการจ่ายคืนได้ รวมถึงการบริหารต้นทุนด้านความเสี่ยงและการปฏิบัติการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  3.          กระจายการให้บริการลงทุนและประกันไปยังกลุ่มลูกค้ารายย่อยและกลุ่มลูกค้าที่ยังเข้าไม่ถึงการลงทุนและประกัน (Democratize Investment & Insurance) ผ่านการแนะนำจากผู้ดูแลความสัมพันธ์ซึ่งจะคอยให้คำปรึกษาทั้งด้านสินเชื่อ ลงทุนและประกัน โดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ด้วยผลิตภัณฑ์ของธนาคาร และบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงิน รวมถึงการให้บริการจากพันธมิตรทางธุรกิจของธนาคาร โดยในส่วนของลูกค้ารายย่อย ธนาคารได้พัฒนา Platform ในการลงทุนต่างๆ เพื่อช่วยให้ลูกค้าสะดวกและมีข้อมูลในการตัดสินใจได้อย่างต่อเนื่องบนต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ
  4.          เจาะตลาดภูมิภาค AEC (Penetrate Regional Market) ด้วยการให้บริการชำระเงินกับลูกค้าทุกกลุ่ม และปล่อยสินเชื่อ Digital Lending ร่วมกับพันธมิตร เพื่อให้ธนาคารเข้าถึงกลุ่มลูกค้าและทำธุรกิจใน AEC ที่กำลังเติบโตทั้งทางด้านประชากรและเศรษฐกิจ
  5.          ยกระดับประสบการณ์บริการและการขาย (Strengthen Sales and Service Channel Experience) ผ่านการประสานการให้บริการของช่องทางต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าทำรายการได้ทุกที่ทุกเวลา รวมถึงมีรูปแบบการขายและบริการที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าแต่ละระดับที่แตกต่างกัน
  6.           เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เพื่อสร้างคุณค่าที่มากขึ้นจากการใช้ทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพทั้งทรัพยากรบุคคล ข้อมูล การเงิน และเทคโนโลยี (Improve Value-Based Productivity) เพราะค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายพนักงานและเทคโนโลยี และเป็นค่าใช้จ่ายที่ผูกพันระยะยาว เราจึงต้องหาทางเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มากขึ้น ทั้งด้านการปรับปรุงกระบวนการ การพัฒนาทักษะพนักงาน รวมถึงการลดขั้นตอนต่างๆ ในการทำงานให้ลดลงได้อย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถนำยุทธศาสตร์ไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิผล จะมีการจัดโครงสร้างการจัดการ การติดตามและปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอเป็นรายไตรมาส (Quarterly Business Review) รวมถึงการปรับโครงสร้างองค์กรให้มีความยืดหยุ่นสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น

SCB มองปี 64 ผันผวนสูง

พร้อมรับมือทุกสถานการณ์

นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เปิดเผยว่า ปี 2564 ยังคงเป็นปีที่มีความผันผวนและไม่แน่นอนสูงมากจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั้งระลอกใหม่ในประเทศและการระบาดอย่างรุนแรงกว้างขวางในต่างประเทศ แต่แม้ว่าทุกประเทศยังต้องเผชิญกับการระบาดของไวรัสแต่ก็เป็นการเดินหน้าโดยที่พอจะเห็นแสงสว่างอยู่บ้างจากความคืบหน้าของการพัฒนาวัคซีน

ทั้งนี้ผลจาก COVID-19 ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นช้าลง ส่งผลกระทบต่อความต้องการซื้อในตลาดโลกอ่อนแอลงไป รวมทั้งส่งผลต่อภาคการท่องเที่ยวที่หายไปในทันที่ อย่างไรก็ดี ภาพโครงสร้างเศรษฐกิจที่จะเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมหลังจากนี้รวมทั้งสถาการณ์ด้านตลาดเงินตลาดทุน ตลอดจนสถานการณ์ทางการเมืองของหลายประเทศในโลกล้วนเป็นสิ่งแวดล้อมที่มีความเสี่ยงมาก ซึ่งอาจจะเป็นปัจจัยลบที่รุนแรงนอกจากเรื่องของ COVID-19

สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2564 คาดว่า จะขยายตัวที่ 3.8% ซึ่งแม้จะกลับมาขยายตัวเป็นบวก จากฐานที่ต่ำ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เม็ดเงินของภาครัฐทั้งจากในงบประมาณและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม รวมถึงการกระจายวัคซีนในช่วงครึ่งหลังของปี แต่ผลของแผลเป็นทางเศรษฐกิจ (Scarring Effects) จะยังคงกดดันการฟื้นตัวของอุปสงค์ภาคเอกชน

ในส่วนของเม็ดเงินจากภาครัฐคาดว่าจะมีจำนวนมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดี นอกจากนี้ ยังมีวงเงินเหลือจาก พ.ร.ก. กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท อีกประมาณ 5 แสนล้าน ที่รัฐสามารถใช้ได้ในปี 2564 ซึ่งล่าสุด รัฐบาลได้ออกมาตรการคนละครึ่งระยะที่ 2 และให้เงินสนับสนุนเพิ่มเติมกับผู้ถือบัตรสวัสดิการ รวมถึงขยายเวลามาตรการเราเที่ยวด้วยกัน เป็นสัญญาณว่ารัฐยังพร้อมใช้มาตรการเพื่อพยุงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการใช้จ่ายของภาคประชาชน

สำหรับภาคส่งออกของไทย มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามทิศทางเศรษฐกิจและการค้าโลก อย่างไรก็ดี ปัญหาการขาดแคลนและต้นทุนที่สูงขึ้นของตู้คอนเทนเนอร์โดยเฉพาะในช่วงปลายปีต่อเนื่องถึงช่วงต้นปีหน้า และแนวโน้มค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นตามทิศทางการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ จะเป็นปัจจัยกดดันเพิ่มเติมต่อการส่งออกในปีนี้

ขณะที่ การค้นพบวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงจากผู้ผลิตหลายราย รวมทั้งการที่ไทยเป็นผู้ผลิตวัคซีน AstraZeneca จะมีส่วนช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงครึ่งหลังของปี โดย คาดว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีหน้าจะอยู่ประมาณ 8 ล้านคน

นอกจากนั้น การระบาดรอบใหม่จะยิ่งสร้างแผลเป็นทางเศรษฐกิจที่ลึกและกว้างขึ้นให้กับเศรษฐกิจไทย ไม่ว่าจะเป็น

  1. ความเปราะบางของตลาดแรงงาน ได้แก่ การว่างงานที่ยังคงอยู่ในระดับสูง จำนวนแรงงานที่ทำงานต่ำระดับที่เพิ่มขึ้นมาก และการที่แรงงานจำนวนมากต้องเปลี่ยนไปทำงานที่มีรายได้น้อยลง
  2.        การเปิด-ปิดกิจการที่ยังซบเซาต่อเนื่อง และ
  3. ปัญหาหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นมาก

ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่เป็นข้อจำกัดต่อการฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนในระยะข้างหน้าทำให้แม้เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ในปีหน้า แต่ยังต้องพึ่งพาการใช้จ่ายของภาครัฐค่อนข้างมาก และระดับ GDP ทั้งปีในปีหน้าก็จะยังต่ำกว่าระดับในปี 2562

ด้านนโยบายการเงิน คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ตลอดปี 2564 รวมทั้งใช้มาตรการเฉพาะจุดร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการส่งผ่านนโยบายการเงินและสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และการจัดการกับหนี้เสีย ภาวะการเงินโดยรวมของไทยยังคงอยู่ในระดับผ่อนคลายจากการที่ ธปท. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและลดค่าใช้จ่ายด้านการชำระหนี้ให้แก่ครัวเรือนและธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในปี 2564 ยังมีความเสี่ยงด้านต่ำที่สำคัญประกอบด้วย

  1. การระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19 และความล่าช้าในการกระจายวัคซีนในไทยอย่างแพร่หลาย
  2. แผลเป็นทางเศรษฐกิจที่อาจส่งผลต่อเสถียรภาพสถาบันการเงินผ่านระดับหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อความสามารถในการเข้าถึงเงินทุนของภาคเอกชน
  3. ปัญหาเสถียรภาพการเมืองในประเทศ ซึ่งอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นในการลงทุน
  4. ภัยแล้ง จากระดับน้ำในเขื่อนที่ยังอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และ
  5. ค่าเงินบาทที่แข็งเร็วกว่าคู่ค้าคู่แข่งซึ่งอาจกระทบต่อการฟื้นตัวของอุปสงค์ต่างประเทศ

สำหรับธุรกิจธนาคารในปี 2564 ธนาคารไทยพาณิชย์ยังเตรียมพร้อมเพื่อเฝ้าระวังกรณีเลวร้าย โดยเตรียมเงินกองทุนของธนาคารให้มีความแข็งแกร่งเต็มที่ซึ่งธนาคารไทยพาณิชย์มีการวางแผนธุรกิจตามสถานการณ์แวดล้อมที่เกิดในลักษณะเมนู โดยจะเตรียมพร้อมทุกสถานการณ์ เช่น หากทุกอย่างเริ่มกลับมาฟื้นฟูแล้วแผนธุรกิจจะเป็นอย่างไร หรือหากสถานการณ์ยังทรงตัวแผนธุรกิจจะต้องเป็นอย่างไร ตลอดจนหากสถานการณ์เสี่ยงสูงมากกว่าเดิมควรจะวางแผนธุรกิจอย่างไรซึ่งคณะกรรมการธนาคารเข้าใจในสถานการณ์เหล่านี้เป็นอย่างดีจึงไม่ได้กดดันธุรกิจด้วยเป้าหมายเชิงตัวเลข แต่จะมีการทบทวนสถานการณ์และเป้าหมายในทุกเดือนและทุกไตรมาสเป็นระยะๆ

“หากตั้งเป้าหมายด้วยการยึดตัวเลขจะทำให้องค์กรยิ่งมีความเสี่ยงสูงมากกว่าเดิม ซึ่งคณะกรรมการธนาคารจึงตกลงกันว่าจะไม่ยึดเอาเป้าหมายเชิงตัวเลขเป็นที่ตั้ง ดังนั้นในไตรมาสแรกของปี 2564 ที่มองว่าเป็นช่วงเวลาไม่แน่นอนสูง ธนาคารจึงจะไม่เร่งเรื่องเป้าหมายธุรกิจ ท่ามกลางเศรษฐกิจที่เปราะบางมากๆ ก็อาจจะไม่เห็นการเติบโตมากนัก”

นายอาทิตย์กล่าวอีกว่า แม้ว่าธนาคารจะไม่เร่งเรื่องสินเชื่อ แต่ไม่ได้ปฏิเสธสินเชื่อใหม่ โดยจะยังตั้งเกณฑ์พิจารณาตามปกติ แต่ในช่วงเศรษฐกิจที่เปราะบางอาจกระทบความสามารถในการชำระของลูกค้าให้ลดลงจนไม่เข้าเกณฑ์พิจารณาสินเชื่อของธนาคาร ดังนั้นสินเชื่อของธนาคารในไตรมาสแรกจะเติบโตน้อยและไม่เร่ง ส่วนทั้งปี 2564 ก็ยังเป็นเรื่องยากต่อการคาดการณ์อาจจะดูเป็นรายไตรมาส

“สิ่งที่ต้องจับตาดูคือเรื่อง NPL มากกว่า สินเชื่อไม่โตไม่น่ากลัวเท่าNPL จะโต ซึ่งรายได้ของธนาคารไม่ได้มาจากการหาสินเชื่อใหม่ แต่มาจากสินเชื่อที่มีคุณภาพในการสร้างรายได้ หากยังสามารถรักษาสินเชื่อที่มีศักยภาพเอาไว้รายได้ก็จะไม่มีปัญหา แต่หากเร่งการเติบโตของสินเชื่อมากไปก็อาจจะได้ไม่คุ้มเสีย”

อย่างไรก็ดี หากมองไปไกลกว่านั้นบทเรียนที่ได้ในครั้งนี้คือความเสี่ยงอันไม่คาดคิดและเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อโลก ดังนั้นอาจจะเป็นสัญญาณว่าวัฏจักรการเกิดวิกฤติที่เคยเกิดในแต่ละครั้งจะมีความถี่เร็วขึ้นและรุนแรงขึ้น ธุรกิจที่ต้องอิงงบการเงินเช่นธุรกิจธนาคารจะต้องทบทวนตัวเองเช่นกันว่าจะยังทำธุรกิจแบบเดิมต่อไปได้อีกหรือไม่ หรือควรจะต้องมองหานวัตกรรมเพื่อเพิ่มโอกาสที่ดีกว่า

 

เดินหน้ารุกธุรกิจ Wealth

มุ่งลดต้นทุนให้ต่ำลง

นายอาทิตย์ กล่าวด้วยว่า แม้ปี 2564 ธนาคารจะไม่ได้มุ่งหวังเรื่องรายได้จากสินเชื่อ แต่จะหันมาเน้นรายได้ที่มาจากการลงทุน โดยเฉพาะในธุรกิจ Wealth ซึ่งในปี 2563 ทำได้ค่อนข้างดีตามแนวทางที่วางไว้ ซึ่งธุรกิจ Wealth ไม่ได้ลงไปช่วงชิงหาผลประโยชน์จากกลุ่มรายได้น้อย แต่จะอยู่ในกลุ่มที่มีศักยภาพสูงซึ่งมีมากพอสมควร รวมทั้งการบริหารจัดการความมั่งคั่งส่วนบุคคลเป็นกิจกรรมที่ทุกคนให้ความสำคัญที่จะนำไปสู่การสร้างรายได้ให้กับธนาคารในระยะต่อไป

“แม้รายได้จากธุรกิจ Wealth จะเป็นเป้าหมายสำคัญแต่แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้สร้างรายได้มาทดแทนรายได้จากสินเชื่อ แต่พอจะเป็นตัวค้ำยันไม่ให้รายได้ของธนาคารอ่อนแอลงไปมากจนเกินไป”

นายอาทิตย์กล่าวว่า สิ่งแรกที่ต้องทำในเรื่อง Wealth คือ ทำให้ลูกค้าตระหนักถึงความสำคัญของการวางแผนความมั่งคั่งเพื่ออนาคตและครอบครัว นอกจากนี้การพัฒนาผลิตภัณฑ์จะไม่จำกัดแค่กลุ่มที่มีรายได้สูงมีเงินออม หรือมีเงินเหลือเท่านั้น แต่จะต้องออกแบบให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงคนในทุกระดับในสังคมด้วย

“ในระดับบนจนถึงระดับโลกมีผลิตภัณฑ์ที่พร้อมแล้วและทำได้ดี แต่ต้องมีผลิตภัณฑ์สำหรับคนที่ทำมาหาได้สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์การออมการลงทุนได้ แม้จะเป็นก้อนเล็กๆ แต่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้พวกเขา ซึ่งแนวทางสร้างความมั่งคั่งนี้จะเป็นเรื่องที่ธนาคารช่วยสร้างประโยชน์ให้กับประเทศ”

นอกจากการเดินหน้าธุรกิจ Wealth แล้ว ธนาคารไทยพาณิชย์ยังมีเป้าหมายสำคัญอีกเรื่อง คือ การลดต้นทุน โดยในปีที่ผ่านมาสามารถลดต้นทุนลงได้เป็นเลขสองหลักแล้วและจะเดินหน้าต่อเนื่องไปถึงปี2564 ทั้งนี้การเปลี่ยนโครงสร้างต้นทุนของธนาคารจะไม่ใช่เรื่องลดค่าใช้จ่าย แต่จะหมายถึงการเปลี่ยนช่องทางและการเปลี่ยนกระบวนการจัดการทำงานทั้งหมด

“จากเดิมที่เคยใช้คนในการให้บริการการขายและต้องมีต้นทุนคอมมิสชั่น ซึ่งจะจะเปลี่ยนไปใช้ช่องทางดิจิทัลเต็มรูปแบบที่มีต้นทุนลดลง ส่วนพนักงานจะยังคงมีรายได้ประจำ เป็นตัวอย่างของการปรับโครงสร้างต้นทุนในการบริการลูกค้า”

นายอาทิตย์ กล่าวอีกว่า ในไตรมาสแรกของปี 2564 จะเริ่มเห็นการร่วมมือระหว่างธนาคารและ บมจ.เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต (FWD) พันธมิตรด้านประกันชีวิตรายสำคัญของธนาคารในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางดิจิทัลโดยเป็นการปรับผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับกลุ่มรายย่อยมากขึ้น

ส่วนเรื่องของธุรกิจการลงทุนธนาคารจะร่วมมือกับกลุ่มธุรกิจในเครือทั้ง บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนไทยพาณิชย์(บลจ.)และบริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์(บล.)โดยจับกระแสใหญ่ในเรื่องการลงทุนคือการออกไปลงทุนต่างประเทศ เพราะการลงทุนในประเทศอาจจะไม่เพียงพอต่อการหาผลตอบแทนที่ดี

อย่างไรก็ดี ในปี 2564 จะเป็นปีแห่งการลงมือทำธนาคารไทยพาณิชย์จะมีการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่อีกครั้ง โดยเฉพาะการ Transformation วิถีในการทำงานให้สอดรับกับโลกใหม่ของธุรกิจ เพราะการทำงานแบบไปเรื่อยๆอย่างที่เคยทำจะใช้ไม่ได้อีกแล้ว เมื่อโอกาสและทิศทางภาคธุรกิจเปลี่ยน ตลอดจนสังคมเปลี่ยนไปทำให้ธุรกิจในระยะข้างหน้าไม่เหมือนเดิม

“ธุรกิจธนาคารต้องสร้างมูลค่าเพิ่ม มีนวัตกรรมมีความแตกต่าง รวมทั้งต้องมีสัมพันธ์ที่ดีแนบแน่นระหว่างธนาคารและลูกค้าทุกกลุ่ม ในยุคดิจิทัลเต็มตัวไทยพาณิชย์ต้องพาตัวเองเข้าเข้าไปในนิเวศน์ใหม่ในชีวิตของลูกค้า เพราะมัวแต่รอลูกค้าทำธุรกรรมแบบเดิมคงไม่รอด”

อย่างไรก็ดีสิ่งที่ได้เริ่มทำมาก่อนหน้าเช่น การปรับการทำงานขององค์กรเป็นรูปแบบ Agile จะทำบทเรียนถูกเรียนผิดมาเปลี่ยนแปลงองค์กร โดยแผนการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ของธนาคารจะเห็นชัดเจนหลังไตรมาสแรกนี้

นายอาทิตย์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ในปี 2564 จะเห็นธนาคารไทยพาณิชย์จับมือกับพันธมิตรระดับโลกหลายรายในการวางพื้นฐานด้านเทคโนโลยีเพื่อทำให้องค์กรเป็น Technology Company อย่างที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ โดยจะเป็นการลงทุนกับพันธมิตรเพื่อขยายตลาดสร้างโอกาสในการแสวงหารายได้จากตลาดอื่นไม่ใช่แค่ในประเทศทั้งนี้งบประมาณที่จะใช้ในการลงทุนด้านเทคโนโลยีและโอกาสใหม่ๆ ในปี 2564 ของธนาคารไม่ได้ตั้งเพิ่มขึ้น โดยจะเป็นงบประมาณที่ใกล้เคียงกับปี 2563

Krungthai เกาะติดภาครัฐ

ต่อยอดการเงินดิจิทัล

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย (Krungthai) เปิดเผยว่า ในปี 2564 จะเน้นไปที่การรักษาศักยภาพของการดำเนินธุรกิจของธนาคารให้เติบโตขึ้นอย่างยั่งยืน ท่ามกลางปัจจัยความไม่แน่นอนและความท้าทายของปัจจัยต่างๆ ที่เข้ามากระทบต่อธุรกิจธนาคาร หลังการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยชะลอตัว โดยธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับการควบคุมคุณภาพสินเชื่อ และการดูแลลูกค้าของธนาคารอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้ลูกค้าและธนาคารสามารถผ่านวิกฤติที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ไปได้

ทั้งนี้ ยังคงเน้นการพัฒนาบริการของธนาคารผ่านระบบดิจิทัลอย่างต่อเนื่องและยกระดับการบริการของธนาคารกรุงไทยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมกับนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในกระบวนการทำงานภายในของธนาคารกรุงไทย เพื่อลดขั้นตอนการทำงานต่างๆ และทำให้การกระบวนการทำงานภายในของธนาคารรวดเร็วมากขึ้น และสร้างธุรกิจรูปแบบใหม่เป็นตัวขับเคลื่อน

“ภายใต้การสร้างรูปแบบธุรกิจใหม่ ธนาคารจะไม่มีการปลดคนออก แต่จะเพิ่มทักษะความสามารถให้ทำงานได้หลากหลาย โดยอาจจะนำสิ่งที่ธุรกิจเดิมมีอยู่มาต่อยอดเป็นธุรกิจใหม่ เช่น คอลเซ็นเตอร์ที่ธนาคารทำได้ดีก็อาจจะให้ปรับให้เป็นบริการคอลเซ็นเตอร์สำหรับธุรกิจอื่นๆ ที่มีความต้องการบริการนี้ หรือการติดตามหนี้ที่ธนาคารชำนาญอยู่แล้วก็อาจจะเปิดรับให้บริการติดตามหนี้แก่ธุรกิจอื่นก็ได้”

นายผยงกล่าวอีกว่า ธนาคารยังคงผลักดันแพลตฟอร์มที่เป็นระบบเปิดของธนาคารที่ได้พัฒนาขึ้นมา โดยร่วมกับภาครัฐในการขับเคลื่อนระบบเปิดของธนาคาร เพื่อทำให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงการใช้บริการทางการเงินผ่านระบบดิจิทัลได้ง่ายและสะดวก โดยเฉพาะแอพพลิเคชั่น "เป๋าตัง" ซึ่งได้มีการใช้งานอย่างแพร่หลายกว่า 40 ล้านรายมาตั้งแต่โครงการ ชิม ช้อป ใช้ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน และล่าสุดโครงการคนละครึ่ง ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และช่วยผลักดันประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินผ่านระบบดิจิทัลมากขึ้น

"ธนาคารพยายามลดต้นทุนของการทำงานให้ลดลง โดยเฉพาะการลดต้นทุนการให้บริการมาอยู่ที่ 35% ภายใน 3 ปี จากปัจจุบันต้นทุนการให้บริการอยู่ที่ 42-48% ซึ่งสูงกว่าคู่เทียบที่ 40%”

นายผยงกล่าวถึงแผนงานของธนาคารกรุงไทยในปี 2564 ว่า ตั้งเป้าสินเชื่อเติบโต 3% ซึ่งสอดคล้องตามการคาดการตัวเลขเศรษฐกิจไทยในปีหน้าที่ขยายตัว 3% แต่การเติบโตของสินเชื่อธนาคารจะเน้นไปที่สินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่ยังมีมาร์จิ้นในระดับที่เหมาะสม เพื่อเป็นรักษาคุณภาพพอร์ตสินเชื่อของธนาคารให้อยู่ในระดับที่ดีตามภาวะที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นๆ

ซึ่งในปีหน้าความเสี่ยงของเศรษฐกิจชะลอตัวยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันต่อคุณภาพหนี้ของธนาคารต่อเนื่อง ทำให้ธนาคารเน้นหันมาปล่อยสินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น สินเชื่อในกลุ่มที่มีหลักประกัน และสินเชื่อส่วนบุคคลในบางกลุ่มลูกค้าโดยจากการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของการปล่อยสินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ของธนาคารในปี 2564 คาดว่า จะลดลงเล็กน้อยมาที่ 2.9% จากปีนี้ที่ 3% โดยที่สัดส่วนพอร์ตสินเชื่อของธนาคารในปีหน้าจะยังอยู่ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับปี 63 แบ่งเป็น สินเชื่อรายย่อย 40% สินเชื่อธุรกิจรายใหญ่และภาครัฐ 40% และสินเชื่อเอสเอ็มอี 14-15%

ขณะที่แนวโน้มการตั้งสำรองฯ ในปี 2564 คาดว่าจะลดลงจากปี 2563 ซึ่งธนาคารได้มีการตั้งสำรองฯรองรับแนวโน้มหนี้เสียที่จะเพิ่มขึ้นหลังจากสิ้นสุดมาตรการพักชำระหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทยไปแล้วค่อนข้างมากในแล้วในปีก่อน ทำให้การตั้งสำรองจะเป็นการตั้งสำรองในระดับปกติตามเกณฑ์ โดยที่อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) ของธนาคารจะอยู่ในช่วง 125-130% ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 130%

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มของสัดส่วนหนี้สงสัยจะสูญ (NPL) ของธนาคารยังมองว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่าอยู่ที่ราว 4% ต้นๆ หรือคิดเป็นมูลค่า 1.04-1.08 แสนล้านบาท โดยที่ในปี 2564 ธนาคารจะควบคุม NPL ให้ไม่เกินระดับ 5% และจะเน้นการบริหารจัดการ NPL เอง โดยที่ยังไม่มีแผนการขายหนี้เสียออกไปเพื่อทำให้ NPL ลดลง

สำหรับงบลงทุนด้านเทคโนโลยีในปี 2564 จะยังใช้เงินลงุทนกว่า 10,000 ล้านบาท โดยมีงบลงทุนราว 6-7 พันล้านบาท ที่ไม่ได้ใช้ลงทุนจากงบลงทุนในปี 2563 ที่ตั้งไว้ทั้งหมด 14,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในเทคโนโลยีต่างๆและนำเทคโนโลยีมาพัฒนากระบวนการทำงานภายในของธนาคารและพัฒนางานบริการให้กับลูกค้า

Krungsri เชื่อมโยงความต้องการ

ของลูกค้าทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน

นายเซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา(Krungsri) เปิดเผยว่า กรุงศรีมองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปีในการกลับไปสู่ระดับก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 และหากไม่นับรวมผลกระทบจากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการแพร่ระบาดในประเทศรอบใหม่นี้ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 3.3% ในปี 2564 เทียบจากฐานที่ต่ำจากการประมาณการว่าจะหดตัว 6.4% ในปี 2563 นอกจากนี้ คาดว่าการฟื้นตัวจะกระจุกตัวเฉพาะในบางธุรกิจและอุตสาหกรรม

ด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและแรงหนุนจากนโยบายด้านการคลัง การใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐจะยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อเนื่องจะยังเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนการบริโภคภาคเอกชน แม้ว่าจะได้รับแรงกดดันจากรายได้ครัวเรือนที่ยังมีความอ่อนแอและความไม่แน่นอนสูง การส่งออกสินค้าเริ่มปรับตัวดีขึ้น ขณะที่การส่งออกในภาคบริการจะฟื้นตัวในอัตราที่ช้ากว่าเนื่องจากนโยบายการเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในจำนวนที่จำกัด

สำหรับปัจจัยเสี่ยงในระยะต่อไปจะรวมถึงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ความสามารถในการจัดหาวัคซีน และการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวได้ในปี 2564 รวมทั้งความต่อเนื่องของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล

นายเซอิจิโระ กล่าวถึงยุทธศาสตร์และแผนธุรกิจธนาคารว่า ปี 2564 จะเป็นปีแรกของแผนธุรกิจระยะกลางฉบับใหม่ (Medium-Term Business Plan หรือ MTBP) ซึ่งครอบคลุมปี 2564-2566 ซึ่งธนาคารได้มีการกำหนดแผน MTBP ฉบับที่ 3 (2564-2566) โดยพิจารณาจากความสำเร็จและความท้าทายที่สำคัญของแผนธุรกิจระยะกลางฉบับที่ 1 และ 2 ตลอดจนการดำเนินธุรกิจท่ามกลางวิกฤตการแพร่ระบาดและผลกระทบของโควิด-19 รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมและแนวโน้มของตลาดในระดับโลกและระดับประเทศ

ทั้งนี้ เมื่อมองย้อนกลับไปในแผนธุรกิจระยะกลางฉบับที่ 2 (2561-2563) กรุงศรีประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่งในการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์และเป้าหมายที่วางไว้ ในขณะเดียวกันก็สามารถสร้างความเติบโตด้านสินทรัพย์อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งผลประกอบการทางการเงินที่แข็งแกร่งความสำเร็จภายใต้แผน MTBP ฉบับที่ 2 (2561-2563) ที่สำคัญคือการบรรลุเป้าหมายสู่การเป็น “สถาบันการเงินชั้นนำของไทย” และได้รับการยกย่องให้เป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีความสำคัญเชิงระบบ (Domestic Systemically Important Bank หรือ D-SIB)

รวมทั้งความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการธนาคารเพื่อความยั่งยืน ด้วยการนำเสนอนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เป็นเลิศด้าน ESG (Environmental, Social, and Governance)

สำหรับแผนธุรกิจระยะกลางฉบับที่ 3 (2564-2566) กรุงศรีมีจุดมุ่งหมาย “สู่การเป็นสถาบันการเงินไทยที่เป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า พร้อมเชื่อมโยงความต้องการของลูกค้าทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน” และได้กำหนดกลยุทธ์ด้านธุรกิจ 5 ประการ และกลยุทธ์ด้านการบริหาร 3 ประการ ดังนี้

 

กลยุทธ์ด้านธุรกิจ 5 ประการ

  1. การปฏิรูปธุรกิจลูกค้ารายย่อยให้เป็นหนึ่งเดียว (One Retail Transformation)
  2. การเสริมสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจด้านลูกค้าธุรกิจ (Commercial Business Enhancement)
  3. การสร้างระบบนิเวศและพันธมิตรทางธุรกิจ (Ecosystem and Partnership)
  4. การขยายธุรกิจสู่ระดับภูมิภาค (ASEAN Expansion)
  5. การสร้างรายได้จากธุรกิจใหม่ (New Revenue Stream)

 

กลยุทธ์ด้านการบริหาร 3 ประการ

  1. การเพิ่มผลิตผลและประสิทธิภาพ (Productivity and Efficiency)
  2. การพัฒนาด้านไอที ดิจิทัลและการวิเคราะห์ (IT, Digital and Analytics)
  3. การพัฒนาบุคลากรและองค์กร (People and Organization)

 

ทั้งนี้ กรุงศรีจะดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ธุรกิจและกลยุทธ์ด้านการบริหารดังกล่าวเพื่อให้สามารถบรรลุจุดมุ่งหมายที่ได้กำหนดไว้ท่ามกลางปัจจัยท้าทายจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังคงอยู่ โดยมีพันธกิจ 3 ด้านที่จะยังดำเนินการต่อเนื่องจากปี 2563 ได้แก่

  1. การสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
  2. การบริหารคุณภาพสินทรัพย์ให้แข็งแกร่ง และ
  3. การบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ

 

สำหรับกลยุทธ์ของธนาคารเพื่อรองรับการฟื้นตัวหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19นายเซอิจิกล่าวว่า ตลอดปี 2563 กรุงศรีในฐานะธนาคารพาณิชย์ที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) ได้ออกมาตรการเชิงรุกเพื่อบรรเทาภาระทางการเงินสำหรับลูกค้าธุรกิจและลูกค้ารายย่อยที่ประสบปัญหาทางการเงิน รวมทั้งให้การสนับสนุนการดำเนินนโยบายทางการเงินที่สอดคล้องกับมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารได้เร่งดำเนินการให้การสนับสนุนด้านสภาพคล่อง รวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

จากการคาดการณ์ว่าการฟื้นตัวจะเกิดขึ้นกระจุกตัวเฉพาะในบางธุรกิจและอุตสาหกรรมรวมทั้งผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ซึ่งอาจส่งผลให้แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจชะลอลง กรุงศรีจึงยังคงให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ และสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจผ่านมาตรการด้านสินเชื่อและการปรับโครงสร้างหนี้ตลอดจนการสนับสนุนด้านสภาพคล่องเพิ่มเติม

นอกจากนี้ ธนาคารจะดำเนินการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ด้วยความรอบคอบระมัดระวังเพื่อความแข็งแกร่งของพอร์ตสินเชื่อของธนาคาร และมุ่งเน้นการกำกับดูแลด้วยความเข้มงวดเพื่อให้เชื่อมั่นว่าธนาคารมีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองในระดับสูงและมากเพียงพอในการรองรับความท้าทายด้านเศรษฐกิจและการเงิน

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


OttO