'ธุรกิจไทยระส่ำ' แห่ลดลงทุน ขายบริษัทย่อย ตุนสภาพคล่อง
- ผลกระทบวิกฤติเศรษฐกิจไทย 2568 พบธุรกิจแห่ขายสินทรัพย์พุ่ง
- บริษัทใหญ่ เริ่มตัดบริษัทย่อยออก- ลดลงทุน หวังลดต้นทุน ค่าใช้จ่าย ตุนสภาพคล่องรองรับวิกฤติ
- พบมากที่สุดในบริษัทจดทะเบียน (บจ.) แห่ขายธุรกิจ/เงินลงทุน โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจพลังงาน-อสังหาฯ ขายทรัพย์มากที่สุด
- ด้าน “ชโย” ชี้ธุรกิจเล็ก-กลาง-ใหญ่แห่ขายสินทรัพย์หวังรักษาสภาพคล่อง-ลดต้นทุน-ลดหนี้
- เห็นเทรนด์ ขายที่ดิน อสังหา ลูกหนี้ ใบจำนำหุ้น

หลังจาก “เศรษฐกิจไทย” ต้องเผชิญวิกฤติโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจซึมลึก เพราะพึ่งพา “ท่องเที่ยว” และ “ส่งออก” เป็นรายได้หลักของประเทศ ปัจจุบันเครื่องยนต์ดังกล่าวยัังไม่ส่งสัญญาณฟื้นตัวกลับมา แต่กลับเผชิญกับความ “อ่อนแอ” หนักขึ้น หลังตัวเลขนักท่องเที่ยวหดหาย
ขณะที่ตัวเลข “จีดีพีไทย” ขยายตัวระดับต่ำรั้งท้ายประเทศกลุ่มอาเซียน
ปัญหาส่วนหนึ่งมาจากระดับ “ภาระหนี้” ที่สูง ประกอบกับ “คุณภาพสินเชื่อ” ที่ปรับลดลงต่อเนื่อง ทำให้สถาบันการเงิน (แบงก์) เข้มงวดอนุมัติสินเชื่อมากขึ้น
จึงเห็นภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวแบบฝนตกไม่ทั่วฟ้า ต้องยอมรับว่าประเทศไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้างฝังรากลึก ต้องใช้เวลาแก้ไข จึงปฏิเสธไม่ได้เศรษฐกิจไทยกำลังเจอปัจจัยเสี่ยงทั้งภายในและภายนอก
หากไม่ปรับตัวมีความเสี่ยงเข้าสู่แนวโน้ม “ขาลง” บ่งชี้ผ่านเศรษฐกิจไทยยังเผชิญภาวะชะลอตัวต่อเนื่องแม้ผ่านวิกฤติโควิด-19 ได้แล้ว แต่ภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่สามารถกลับมาเท่าศักยภาพเดิมที่เติบโต 3.0-3.5% ได้
ดังนั้น เมื่อเศรษฐกิจไทยส่งสัญญาณอ่อนแอผล คือ “บริษัทจดทะเบียนไทย” (บจ.) ต้องเร่งปรับโครงสร้างธุรกิจและบริหารสภาพคล่องตัดขายบริษัทร่วม-เงินลงทุน ทั้งในไทยและต่างประเทศ การเร่งขายสินทรัพย์ของบจ.
เหล่านี้ สะท้อนความพยายาม “ภาคธุรกิจ” ในการบริหารจัดการเงินทุน รักษาสภาพคล่องช่วงเศรษฐกิจไม่แน่นอนและท้าทายสูง
จากการสำรวจ บจ. ที่ประกาศขายบริษัทย่อยและเงินลงทุน ส่วนใหญ่เป็นบจ. ที่อยู่นอกดัชนี SET100 กลุ่มธุรกิจที่ติดโผมากที่สุดคือ “พลังงานและสาธารณูปโภค” และ “กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์”
- บจ.เร่งปรับโครงสร้างธุรกิจ เติมสภาพคล่อง
บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กำลังเดินหน้าปรับนโยบายลงทุนใน PT Chandra Asri Pacific Tbk (CAP) บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย ที่ดำเนินธุรกิจผลิต Olefins และ Polyolefins คุณภาพสูง
โดยบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) บริษัทย่อยที่ SCC ถือหุ้นทั้งหมด กำลังเตรียมลดสัดส่วนถือหุ้นใน CAP ลง 10.57% จากเดิม 30.57% พร้อมทั้งลดมีส่วนร่วมบริหารจัดการ
การเคลื่อนไหวครั้งนี้มีเป้าหมายลดภาระการเงิน และจัดสรรเงินทุนสำหรับโอกาสธุรกิจอนาคต
บมจ.บ้านปู (BANPU) ระบุว่า บริษัท Banpu Renewable Singapore Pte. Ltd. (BRS) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย Banpu NEXT จำกัด ได้ลงนามสัญญาจำหน่ายเงินลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 10 โครงการในญี่ปุ่น ให้แก่นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นเพื่อการลงทุน ภายใต้การบริหารจัดการ
โดยบริษัทในเครือ Actis LLP มีมูลค่าซื้อขายรวม 19,764 ล้านเยน หรือประมาณ 4,460 ล้านบาท การทำรายการดังกล่าวเป็นไปตามกลยุทธ์ดำเนินธุรกิจและบริหารจัดการลงทุนของบ้านปู เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดและสร้างการเติบโตยั่งยืนระยะยาว
บมจ.ช.การช่าง (CK) ขายหุ้นบริษัท หลวงพระบาง พาวเวอร์ (LPCL) 418.67 ล้านหุ้น ให้ บมจ.ทีทีดับบลิว (TTW) มูลค่า 2,765 ล้านบาท หลังการขาย CK ยังคงถือหุ้นใน LPCL 10%
บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA) ขายหุ้นทั้งหมดในบริษัท พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมระยอง ไทย-จีน 2 (TCR2) ให้บริษัท พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมระยอง ไทย-จีน (TCR) มูลค่า 1,871 ล้านบาท การขายครั้งนี้ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการกำกับดูแลและบริหารจัดการ เนื่องจากธุรกิจ TCR2 อยู่ในพื้นที่ต่อเนื่องกับ TCR
บมจ.ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ (TSE) ขายหุ้นบริษัท ไทย โซล่าร์ รีนิวเอเบิล (TSR) จำนวน 35 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 60% ของหุ้นทั้งหมด ให้กับ บริษัท เลวันตา รีนิวเอเบิลส์ (ประเทศไทย) หรือ Levanta มูลค่า 1,791 ล้านบาท เพื่อนำเงินไปลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนใหม่ๆ
บมจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ขายบริษัทย่อย 2 แห่ง คือ บริษัท เดอะ คอมมูนิตี้ วัน และ บริษัท เดอะ คอมมูนิตี้ ทู ให้กับ บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชันแนล เอวิเอชั่น รวมมูลค่า 625 ล้านบาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง
บมจ. ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น (SUPER) ขายหุ้นทั้งหมดในบริษัท ทานตะวัน โซล่าร์ ให้กับ บริษัท เลวันตา รีนิวเอเบิลส์ (ประเทศไทย) หรือ LEVANTA มูลค่า 536 ล้านบาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง
บมจ.ไพร์ม โรด เพาเวอร์ (PRIME) จำหน่ายโครงการโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ 7 โครงการในไต้หวัน ผ่านบริษัทย่อยต่างๆ ให้กับ Jiayu Energy รวมมูลค่า 476 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่อง
บมจ.ดับบลิว เอส โอ แอล (WSOL) ขายหุ้น 80% ในบริษัท สบาย มันนี่ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจระบบตัวกลางชำระเงิน ให้กับผู้ซื้อที่ไม่เปิดเผย มูลค่า 240 ล้านบาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง
รวมทั้ง บมจ.แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป (A5) , บมจ.เอเคเอส คอร์ปอเรชั่น (AKS), บมจ.บูทิค คอร์ปอเรชั่น (BC), บมจ.ซีแอล เวนเจอร์ (KOOL) , บมจ.ซาเล็คต้า (ZAA), บมจ.เอส แอนด์ เจ อินเตอร์เนชั่นแนล เอนเตอร์ไพรส์ (S&J) และบมจ.นามยง เทอร์มินัล (NYT)
- “ชโย” ชี้ศก.ชะลอตัว เอกชนตัดขายธุรกิจ
นายสุขสันต์ ยศะสินธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และมีความไม่แน่นอนมากขึ้น
เริ่มเห็นสัญญาณบริษัทต่างๆ ทั้งขนาดใหญ่ กลาง เล็ก ออกมาตัดขายธุรกิจตัวเองมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการบริหารจัดการสภาพคล่องช่วงเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง จำเป็นต้องรักษากระแสเงินสด ลดต้นการดำเนินธุรกิจ ลดหนี้ หรือหาสภาพคล่อง มีทั้งการตัดขายธุรกิจ ที่ไม่จำเป็นจากธุรกิจหรือบริษัทลูกที่อาจมีกำไรลดลง ทำให้มีการพิจารณาตัดขายหรือปิดบริษัทต่างๆ มากขึ้นลดความเสี่ยงในอนาคต
ส่วนปัญหาจากสภาพคล่อง เป็นส่วนหนึ่งทำให้ เห็นการขายธุรกิจต่างๆ เพิ่ม เห็นการตัดส่วนเกินหรือไม่จำเป็นออกก่อนเพื่อลดต้นทุนบริษัท ในส่วน “ชโย” เห็นทิศทางการนำสินทรัพย์ต่างๆ มาขายให้บริษัทต่อเนื่อง ทั้งที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ ลูกหนี้การค้าแฟคตอริ่ง ใบจำนำหุ้นต่างๆ
ยอมรับว่าบางส่วนบริษัทไม่สามารถรับได้ เช่น ลูกหนี้ทางการค้าในธุรกิจแฟคตอริ่ง หรือใบจำนำหุ้นต่างๆ เนื่องจากไม่ใช่ธุรกิจของชโย และเป็นสินทรัพย์เสี่ยงสูง ดังนั้น หากระยะข้างหน้าธุรกิจไม่สามารถชำระคืนได้ อาจเป็นภาระต่อบริษัท เพราะบริษัทไม่มีความรู้การบริหารธุรกิจ
“ทิศทางเหล่านี้ ที่บริษัทต่างๆ แห่นำสินทรัพย์มาขายให้บริษัท เห็นเทรนด์มาแล้ว 6 เดือน และชัดเจนมากขึ้นใน 3 เดือนหลังมานี้ หลักๆ มาจากผลกระทบเศรษฐกิจชะลอตัวทำให้ธุรกิจรายได้ไม่ฟื้น ต้องการหาสภาพคลองเข้ามามากขึ้น หรือบางธุรกิจเริ่มตัดสินใจตัดขายธุรกิจ เพราะอาจมีกำไรลดลง รอสถานการณ์เศรษฐกิจกลับมาปกติค่อยเริ่มธุรกิจใหม่”
- “กรุงไทย” รับเศรษฐกิจส่งสัญญาณเปราะบาง
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB กล่าวยอมรับว่า ปัจจุบันเริ่มเห็นสัญญาณความ “เปราะบาง” ธุรกิจรายใหญ่มากขึ้น ไม่เฉพาะตลาดหุ้นกู้ แต่สะท้อนผ่านผลประกอบการที่ “ลดลง” สภาพคล่องต่างๆ ที่ลดลงด้วย
เหล่านี้ไม่ได้มาจากสถานะลูกหนี้ที่แย่ลง ไม่ได้มาจากการจัดชั้นคุณภาพหนี้ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวปัจจุบัน แต่มาจากการที่แบงก์เห็นถึง “ความเสี่ยง” ธุรกิจมากขึ้น
โดยธุรกิจที่แย่ลงครั้งนี้ถือว่ารอบด้าน ทั้งใน และต่างประเทศ จากผลกระทบซัพพลายเชนเศรษฐกิจนักท่องเที่ยว การบริโภคในประเทศต่างๆ ด้วย
“การจัดชั้นหนี้เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ต้องเห็นมากขึ้น
แต่มาจากธุรกิจด้วย เพราะวันนี้ภาพที่มันชะลอ ธุรกิจรายใหญ่ที่เปราะบาง ชะลอตัวลง เราก็ต้อง selective มากขึ้นเป็นเรื่องปกติ เพราะคำถาม คือ เอาสินเชื่อไปเพื่อไปลงทุน แล้วไปขายใคร ขายเท่าไร ต้นทุนแค่ไหนก็ยังเป็นคำถาม”
- “กสิกรไทย” ชี้ลามพอร์ตลูกค้ารายใหญ่
นายพิพิธ เอนกนิธิ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK กล่าวว่า จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนความผันผวนที่เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่เพียงพอร์ตสินเชื่อเอสเอ็มอี พอร์ตลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบ
แต่กำลังลามถึง “ธุรกิจรายใหญ่” เริ่มเห็นปัญหามากขึ้นจากธุรกิจที่อ่อนแอลง เริ่มเห็นอาการอ่อนแอลงมากของพอร์ตลูกหนี้จากบัญชีและการชำระหนี้ที่เริ่มผิดปกติมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่เห็นปัญหาต่อเนื่องถือว่ากระจายตัวในหลายอุตสาหกรรม เพราะวันนี้มีทั้งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอยู่แล้วจากก่อนหน้านี้ หรือตั้งแต่โควิด-19 เช่น กลุ่มส่งออก กลุ่มสิ่งทอต่างๆ และหลังจากนี้กลุ่มนี้ยังต้องติดตามใกล้ชิด
“ที่ผ่านมาเรามีการเข้าไปดูแลเชิงลึกมากขึ้น ทั้งดูว่า Cash Flow ธุรกิจเป็นอย่างไรเป็นวิธีเข้าไปช่วยลูกหนี้ได้ ทำให้ที่ผ่านมาตัวหนี้เสียยังไม่ปรับเพิ่มขึ้นมาก เพราะเข้าไปช่วยเหลือลูกค้าต่อเนื่อง หน้าที่ของแบงก์ไม่ใช่แค่ยึดทรัพย์ แบงก์ไม่ใช่โจรแต่หน้าที่เรา คือ ต้องคุยกันให้รู้เรื่องให้รอดไปด้วยกัน”
- ธปท. รับมีปัจจัยเสี่ยงระยะข้างหน้า
สอดคล้องข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ภายใต้การประเมินเสถียรภาพระบบการเงินไทยในปี 2567 และแนวโน้มปี 2568 มองว่ามีปัจจัยเสี่ยงอาจกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงินระยะข้างหน้า
ทั้งความเชื่อมั่นนักลงทุนที่เปราะบาง และอ่อนไหวต่อทั้งปัจจัยภายใน และภายนอกประเทศ จากนโยบายการค้าประเทศเศรษฐกิจหลัก รวมถึงบางภาคธุรกิจที่ยังฟื้นตัวช้า มีปัญหาเชิงโครงสร้าง และเผชิญการแข่งขันจากจีน
ขณะที่ความเชื่อมั่นที่เปราะบาง นักลงทุนอาจนำไปสู่การขายสินทรัพย์ที่ทำให้ราคาปรับลดลง กระทบต่อฐานะของนักลงทุนสถาบัน และผู้ลงทุนรายย่อย
รวมไปถึงเห็นถึง ภาวะการเงินที่ตึงตัวมากขึ้นส่งผลต่อสภาพคล่องธุรกิจ และครัวเรือน รวมถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป ขณะที่ธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมมีปัญหาด้านการเข้าถึงสินเชื่อมากขึ้น เช่นเดียวกับ บริษัทขนาดใหญ่บางรายมีการก่อหนี้ในระดับสูงต่อเนื่องเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ
แม้บริษัทขนาดใหญ่โดยรวม จะมีฐานะการเงินดี ระดับหนี้ที่สูงเหล่านี้แม้ไม่กระทบต่อเสถียรภาพระยะสั้นๆ แต่ระดับหนี้ที่สูงต่อเนื่องเป็นการสะสมความเปราะบาง ทำให้ความสามารถรองรับความเสี่ยง (Negative Shocks) บริษัทลดลง
โดยเฉพาะรายใหญ่ที่มีระดับหนี้สูง มีรายได้ และความสามารถชำระหนี้ที่ค่อนข้างอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจ หากเศรษฐกิจโลกแย่กว่าที่ประเมินไว้
- ปตท.ยึดลงทุน Core business
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวย้ำว่ากลุ่ม ปตท.จะเน้นดำเนินธุรกิจที่ถนัดและสร้างรายได้ให้องค์กร ซึ่งล่าสุด ธุรกิจโลจิสติกส์ เช่น ขนส่งผลไม้โดยรถไฟเลิกหมดแล้ว ซึ่งกลุ่ม ปตท.จะออกจากธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องธุรกิจหลัก
รวมทั้งเน้นเฉพาะที่มีความเกี่ยวเนื่องธุรกิจหลักและสร้าง Synergy ภายในกลุ่มได้ เช่น เพิ่มธุรกิจ Oil & Gas เพื่อลดลงทุนซ้ำซ้อน สร้างความแข็งแรงและรายได้มากขึ้น
“กรุงเทพธุรกิจ” รายงานว่า ก่อนหน้านี้ กลุ่ม ปตท.ขยายธุรกิจโลจิสติกส์ก่อนหน้านี้ โดยบริษัท สยาม แมนเนจเมนท์ โฮลดิ้ง จำกัด (SMH) บริษัทย่อยของ ปตท.ตั้งบริษัท โกลบอล มัลติโมดัล โลจิสติกส์ จำกัด (GML) โดย SMH ถือหุ้นสัดส่วน 100% เพื่อทำธุรกิจโลจิสติกส์
นายคงกระพัน กล่าวว่า ปตท.กำลังศึกษาแนวทางรับมือธุรกิจปิโตรเคมีขาลง หนึ่งในแนวทางที่ศึกษา คือ การหาพันธมิตรต่างชาติเพื่อร่วมดำเนินธุรกิจบริษัทลูก ประกอบด้วย บริษัท ปตท. โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน), บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)และ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) คาดว่าจะชัดเจนปี 2568 และปตท.ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
- “เอสซีจี” ลดถือหุ้น-ปิดบริษัทลูก
ขณะที่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) มีการปิดบริษัทลูกที่ไม่ทำกำไร และลดสัดส่วนถือหุ้นบริษัทลูก โดยวันที่ 12 มิ.ย.2568 รายงานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท) ว่า บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC ที่บริษัทฯ ถือหุ้นทั้งหมด จะปรับสถานะการลงทุนใน PT Chandra Asri Pacific Tbk (CAP)
ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซียที่ SCGC ถือหุ้นสัดส่วน 30.57% จากเดิมที่เป็นบริษัทร่วม (Associated Company) เป็นการลงทุนอื่น (Other Investments)
โดย SCGC อยู่ระหว่างเตรียมลดสัดส่วนถือหุ้นใน CAP ลง 10.57% และลดการมีส่วนร่วมการบริหาร CAP ซึ่งสอดคล้องกลยุทธ์ SCGC ในการลดภาระทางการเงิน (Deleverage) และจัดสรรเงินทุนใหม่เพื่อโอกาสทางธุรกิจอนาคต
ทั้งนี้ PT Chandra Asri Pacific Tbk (PTCAP) เป็นบริษัทในกลุ่ม Barito Group ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านพลังงาน, เคมี, และโครงสร้างพื้นฐาน
รวมทั้งก่อนหน้านี้ SCG ตัดทิ้งธุรกิจที่ไม่ทำกำไร เช่น ธุรกิจขนส่ง โดยบริษัท เอสซีจี เอ็กซ์เพรส จำกัด (SCG EXPRESS) ที่รู้จักกันในนามแมวดำ นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG เคยระบุกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่าแม้ธุรกิจเติบโตแต่ผลตอบแทนการเงินน้อย จึงไม่รู้ว่าจะต้องถมเงินไปอีกเท่าไหร่ และเมื่อลงทุนไปแล้วใครจะได้ประโยชน์
ที่มา.. https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1186070