รายงานพิเศษ : เจาะผลกระทบสหรัฐฯ ส่งออกเงินเฟ้อให้ทั่วโลก
ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด กำลังเร่งจัดการกับภาวะเงินเฟ้อด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่กลับส่งผลกดดันให้ธนาคารกลางประเทศอื่นๆ ทั่วโลกต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้นและสูงขึ้น ในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าทำให้ค่าเงินของสกุลเงินประเทศเหล่านั้นลดค่าลง

.
ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยอมที่จะให้เกิดการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้น และภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่กลับไม่ส่งผลต่อการเติบโตทั่วโลก
การตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสะกัดเงินเฟ้อในการประชุมสามครั้งติดต่อกัน อีกทั้งยังส่งสัญญาณการปรับขึ้นในระดับสูงต่อเนื่อง ทำให้ประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ต้องประสบปัญหาหนัก หากประเทศเหล่านั้นมีอัตราดอกเบี้ยที่ทิ้งห่างจากเฟดมาก จะทำให้นักลงทุนดึงเงินกลับจากตลาดการเงิน ส่งผลให้เกิดภาวะชะงักงันรุนแรง
.
ธนาคารกลางสวิสเซอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร นอร์เวย์ อินโดนีเซีย แอผริกาใต้ ในจีเรีย และฟิลิปปินส์ ได้ดำเนินนโยบายตามเฟดในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
.
การดำเนินการของเฟดได้ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สู่ระดับสูงสุดในรอบ สองทศวรรษเมื่อเทียบกับตระกร้าเงินสกุลหลักต่างๆ แต่นั่นก็เป็นการช่วยให้ชาวอเมริกันช้อปปิ้งต่างประเทศได้อย่างสบายใจ ในขณะที่เป็นข่าวร้ายของหลายๆ ประเทศ เนื่องจากค่าเงินหยวน ค่าเงินเยน ค่าเงินรูปี ค่าเงินยูโร ค่าเงินปอนด์ ร่วงลง ทำให้การนำเข้าสินค้าที่จำเป็นอย่างอาหารและพลังงานแพงขึ้น พลวัตรที่เฟดกำลังส่งออกเงินเฟ้อ กำลังสร้างแรงกดดันให้แก่ธนาคารกลางท้องถิ่นประเทศต่างๆ
.
ผลกระทบจากการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐอย่างรวดเร็ว
ทางการญี่ปุ่นได้เข้าแทรกแซงค่าเงินเยนเป็นครั้งแรกในรอบ 24 ปี เพื่อทำให้ค่าเงินเยนเเข็งค่าขึ้น หลังจากที่ร่วงลง 26% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่นหรือ BoJ ยังคง เป็นธนาคารกลางแห่งเดียวในบรรดาธนาคารกลางหลักของโลกที่แตกแถว และยืนยันที่จะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แม้จะเผชิญภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น
.
ด้านจีนกำลังเฝ้าระวังตลาดอัตราแลกเปลี่ยน หลังจากที่การซื้อขายสกุลเงินหยวนในประเทศ (Onshore) ร่วงลงไปสู่ระดับต่ำสุดเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลก ในขณะที่ นางคริสติน ลาร์การ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ได้ออกมาเตือนว่าค่าเงินยูโรที่อ่อนค่ารุนแรง ได้สร้างแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอีก
.
สหราชอาณาจักร ได้แสดงให้เห็นถึงความไม่สามารถที่จะควบคุมสถานการณ์ได้ ในขณะที่นักลงทุนทั่วโลกกำลังตกใจกับข่าวแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยค่าเงินปอนด์ร่วงลงไปทำจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ หลังจากการทดลองดำเนินการลดภาษีครั้งใหญ่ที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน ส่งผลให้เกิดการกู้ยืมสูงขึ้น ซึ่งนโยบายเช่นนี้ เราเห็นบทเรียนจาก ศรีลังกา ดำเนินการลดภาษีเงินได้ผู้ที่มีฐานะร่ำรวย และลดภาษีนิติบุคคลลงมาก ทำให้เงินที่ควรจะนำมาใช้จ่ายกับภาคประชาชน กลับต้องนำไปชำระหนี้ต่างประเทศ กดดันให้ประธานาธิบดีต้องออกจากตำแหน่งเมื่อต้นปีนี้ (คาดว่า หากรัฐบาลอังกฤษ ดำเนินการแบบเดียวกัน อาจจะมีประวัติศาสตร์ใหม่เกิดขึ้นในประเทศพัฒนาแล้ว)
.
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ทำให้ธนาคารกลางอังกฤษ หรือ BoE ประกาศโครงการซื้อพันธบัตรฉุกเฉิน เพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับตลาด และนำมาสู่การตักเตือนของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) โดยกล่าวว่า รัฐบาลอังกฤษควรทบทวนการเสนอมาตรการนี้ใหม่ ซึ่งล่าสุด ก็ได้ประกาศระงับการไม่เก็บภาษีคนรวยเรียบร้อยแล้ว
.
ภัยคุกคามต่อตลาดเกิดใหม่
ธนาคารโลกได้ออกมาเตือนเมื่อเร็วๆ นี้ถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกในปี 2566 จากการที่ธนาคารกลางทั่วโลกปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเวลาเดียวกันเพื่อสกัดเงินเฟ้อ เทรนด์ดังกล่าวอาจทำให้ประเทศเศรษฐกิจกำลังพัฒนาเผชิญกับวิกฤตทางการเงินส่งผลกระทบร้ายแรงยาวนาน โดยหลายแห่งเพิ่งจะฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
.
อย่างไรก็ตาม ประเทศที่มีภาระหนี้ต่างประเทศในสกุลเงินดอลลาร์สูง จะได้รับผลกระทบหนักที่สุด เพราะการชำระคืนภาระหนี้เหล่านั้น จะมีมูลค่าที่สูงขึ้นเนื่องจากการอ่อนค่าของเงินสกุลท้องถิ่น กดดันให้รัฐบาลต้องลดค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ ดังที่เงินเฟ้อส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต
.
เงินทุนสำรองที่ลดลง ยังเป็นอีกประเด็นที่สร้างความกังวล ยกตัวอย่าง ที่ศรีลังกา การขาดแคลนดอลลาร์ส่งผลให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศ
.
จะหยุดะสถานการณ์นี้ได้หรือไม่
ครั้งก่อนที่ดอลลาร์สหรัฐเผชิญกับภาวะเช่นนี้ คือช่วงต้นทศวรรษ 1980 โดยผู้กำหนดนโยบายของสหรัฐฯ ญี่ปุ่น เยอรมนี ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร ได้ประกาศความร่วมมือในการแทรกแซงตลาดเงินตรา ซึ่งเป็นที่รู้จักกันคือ Plaza Accord
.
สำหรับการแข็งค่าอย่างรุนแรงของดอลลาร์เมื่อไม่นานมานี้ และความยากลำบากที่หลายๆ ประเทศประสบ อาจเป็นการส่งสัญญาณว่า ควรมีการทำข้อตกลงใหม่อีกครั้ง แต่ทางทำเนียบขาวกลับเพิกเฉยแนวคิดนี้
.
แน่นอน ในช่วงนี้ เฟด ยังคงเดินหน้าตามแผน ซึ่งหมายความว่า ค่าเงินดอลลาร์จะยังคงขยับตัวแข็งค่าขึ้นต่อไป และบรรดาธนาคารกลางทั่วโลก ก็ไม่สามารถเพิกเฉยได้
.
เราคงจะต้องเผชิญกับดอลลาร์ที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง และอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างหลักเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้ นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs มองว่า ผลที่ตามมานั้นค่อนข้างสาหัสมาก
.
คงต้องรอให้สหรัฐฯ ยอมถอยเองเป็นแน่
***********************************