“พิชญ์ โพธารามิก” ยืนยันไม่แปลง JAS-W3 กลับ
จับตาการเดินหมากของผู้เล่น Money game ที่เก่งสุดคนหนึ่งของไทย
เมื่อพูดถึงชื่อของคนที่มีความรู้ ความสามารถในด้านการเงินที่สามารถหยิบจับเครื่องมือทางการเงินต่างๆมาใช้ให้เกิดผลตอบแทนในเมืองไทยแล้วล่ะก็ เชื่อว่าทุกคนจะต้องนึกถึงชื่อของ
“พิชญ์ โพธารามิก” เป็นอันดับต้นๆใน List อย่างแน่นอน
เนื่องจากว่าเขาจัดว่าเป็นนักลงทุนระดับ Top10 ของประเทศไทยและเจ้าพ่อประจำหุ้น JAS ที่มีพอร์ตการลงทุนรวมๆในตอนนี้สูงถึง 25,010 ล้านบาท ซึ่งจะคิดเป็นหุ้น JAS ในสัดส่วน 72.76% หุ้น MONO 26.65% และหุ้น JTS อีก 0.58%
โดยเฉพาะในปีที่แล้วที่เขาได้ปันผลจากการถือหุ้นใหญ่ใน JAS (ปัจจุบันอยู่ที่ 54.99%) เป็นเงินกว่า 7- 8 พันล้านบาทก็ได้ทำให้ชื่อของเขาและหุ้น JAS ถูกจับตามองมาเป็นอย่างมากในช่วง 4 ปีหลังมานี้
พิชญ์ โพธารามิก เป็นบุตรชายของคุณ “อดิศัย โพธารามิก” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (รัฐบาลทักษิณ) และผู้ที่เรียกได้ว่าเป็นเจ้าพ่อแห่งวงการคมนาคมในยุคนั้น อีกทั้งยังเป็นผู้ก่อตั้ง JAS หรือบมจ. จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล ขึ้นในปีพ.ศ. 2525 อีกด้วย
คุณพิชญ์จบการศึกษาชั้นปริญญาตรีมาจาก London School of Economics & Political Science, ประเทศอังกฤษในสาขาการจัดการ แต่หลังจากนั้น ในขณะที่เขามีอายุได้ 35 ปี JAS ก็ได้ถูกส่งต่อให้กับเขาจากคุณพ่อ การเดินทางครั้งใหญ่ของคุณพิชญ์และหุ้นตัวนี้จึงได้เริ่มต้นขึ้น
หลังจากที่ได้ JAS มาอยู่ในมือเขาก็ได้ทำการ “เปลื่ยนแปลง” บริษัทด้วยการลงทุนในธุรกิจอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ที่ยังไม่มีคู่แข่งมากนักในตอนนั้นภายใต้ชื่อ “3BB” ซึ่งทุกคนก็น่าจะรู้กันแล้วว่าในตอนนี้ 3BB ก็ได้กลายมาเป็นผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ในวงการอินเตอร์เน็ตของบ้านเราอีกหนึ่งเจ้า ในระยะเวลาเพียง 2 ปีที่เขาได้เข้ามาดูแล JAS นั้นก็ทำให้ 3BB สร้างรายได้ไปมากถึงเจ็ดพันล้านบาท
แต่ความน่าสนใจก็ไม่ได้มีเพียงแค่ 3BB ที่เติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดด เพราะว่าหุ้น JAS จากที่มีราคาเพียง 0.42 บาทในปีพ.ศ. 2551 ก็ได้โดนคุณพิชญ์เก็บเข้ามือไปเป็นจำนวนเงินเกือบเก้าสิบล้านบาทพร้อมๆกับการเป็น CEO ที่เข้ามาเปลื่ยนแปลงบริษัทให้เติบโต
ส่งผลให้ราคาหุ้นของ JAS เคยขึ้นสูงถึงระดับสิบบาทหรือคิดเป็นการเติบโตที่มหาศาลภายในระยะเวลาเพียงราวๆ 5 ปีเท่านั้น ชื่อเสียงของ JAS จึงได้โด่งดังไปทั่วจนทำให้ใครๆก็รู้จักหุ้นตัวนี้กันเป็นอย่างดี
เพราะถ้าหากคุณซื้อหุ้น JAS ด้วยเงิน 100,000 บาทในราคา 0.42 บาทและไปขายที่ราคา 10 บาท คุณจะได้กำไรไปมากถึงราวๆ 2,281,000 บาทหรือคิดเป็นผลตอบแทนถึง 2,380%
ต่อมาในปี 2558 เขาก็ได้เขย่าวงการอีกครั้งด้วยการส่ง JAS เข้าประมูลแย่งชิง 4G จากค่ายโทรศัพท์ยักษ์ใหญ่ทั้งสามสี แต่สุดท้ายก็ได้ทำการ “ทิ้ง” ใบอนุญาตจนทำให้เกิดข่าวลบมากมาย ส่งผลให้ราคาหุ้นร่วงลงมาตามธรรมชาติ แต่หลังจากนั้นราคาของ JAS ก็วิ่งกลับขึ้นไปอีก เรียกได้ว่าถ้าไม่ได้ตามดีๆแล้วต้องมีงง
แต่คุณพิชญ์ก็ได้ทำการ “เรียกขวัญ” นักลงทุนด้วยการจ่ายปันผลจากกำไรที่ได้มาจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนInfrastructue ที่มีชื่อว่า JASIF ในอัตราที่สูงถึง 0.15 บาทต่อหุ้นหลังจากที่ปันผลกันไปแล้ว 0.30 บาทต่อหุ้นกันในช่วงต้นปี อีกทั้งยังทำการกู้เงินมาเพื่อทำ Tender offer หรือการรับซื้อหุ้น JAS ที่ราคา 7.25 บาทและ JAS-W3 ที่หน่วยละ3.68 บาทส่งผลให้ในปีนั้นราคาของ JAS ขึ้นๆลงๆไม่ต่างจากรถไฟเหาะ
ด้วยความที่เป็นหุ้นที่มีราคาขึ้นแรงและลงแรง JAS และคุณพิชญ์จึงได้ถูกพูดถึงในหลายๆแง่มุม เพราะแน่นอนว่าการเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงในหุ้นที่เต็มไปด้วยการเก็งกำไรแล้วนั้น มันต้องมีทั้งคนที่รวยเร็วและหมดตัวเร็ว ถ้าใครได้ลองไปตามกราฟดูแล้วจะเห็นว่ามีจังหวะดีๆอยู่ด้วยกันถึง 4 ครั้ง
เช่นเดียวกันกับในครั้งนี้ที่ “พิชญ์ โพธารามิก” แห่ง JAS ในวัย 46 ปีผู้นี้ได้ออกมายืนยันว่าจะไม่นำ JAS-W3 ที่ถืออยู่กว่า 900 ล้านวอแรนท์มา “แปลงกลับ”
และ JAS-W3 ก็คือชื่อของวอแรนท์ (Warrant) ที่บริษัทได้ทำการออกมาเมื่อต้องการระดมเงินทุนในอนาคตมาใช้ หรือเราจะเข้าใจง่ายๆว่าวอแรนท์ก็คือ “สิทธิการซื้อหุ้นในอนาคต” ที่จะช่วยให้บริษัทนั้นๆไม่ต้องทำการเพิ่มทุนนั่นเอง ซึ่งถือว่าเป็นเทคนิคทางการเงินอีกแบบหนึ่งที่น่าสนใจ
โดยที่ราคาของวอร์แรนท์ก็จะวิ่งไปในทิศทางเดียวกับราคาของหุ้นตัวแม่นั่นเองครับ แต่อย่าลืมว่าวอแรนท์มันมีวันหมดอายุ และที่สำคัญคือมันมีค่าใช้จ่ายในการแปลงกลับมาเป็นหุ้นด้วยครับ
แต่ทีนี้ประเด็นก็อยู่ตรงที่ว่าคุณพิชญ์ตัดสินใจที่จะไม่แปลง JAS-W3 กลับมาเป็นหุ้นและวอแรนท์ตัวนี้ก็กำลังจะหมดอายุภายในวันที่ 3 ก.ค. 63 ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเขาไม่แปลงวอแรนท์ที่ออกไปกลับมาเป็นหุ้นแล้วล่ะก็
สัดส่วนการถือหุ้นใน JAS ของเขาจะลดลง...
แต่ถึงอย่างไรเหตุผลที่เขาได้ให้กับสาธารณะชนก็คือว่าเขายังมั่นใจในธุรกิจของ JAS และกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งของบริษัท อีกทั้งแผนการเติบโตของเขาที่ได้กล่าวไว้ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มฐานลูกค้าของ 3BB เป็น 5,000,000 ล้านราย, การร่วมมือกับ KT Corporation ของประเทศเกาหลีใต้และการร่วมมือกับ Dtac ของไทยเราเอง
เรียกได้ว่าเป็นการเดินเกมส์ครั้งสำคัญอีกหนึ่งครั้งของ “เจ้าพ่อ” แห่ง Money game ในไทยกับการประกาศว่าจะปล่อยให้ JAS-W3 หมดอายุ
ซึ่งถ้าหากเกิดขึ้นจริงก็จะทำให้ Dilution effect หรือเหตุการณ์ที่หุ้นมีตัวหารมากขึ้นซึ่งจะส่งผลกระทบกับผู้ถือหุ้นเดิมและราคาหุ้นนั้นเกิดขึ้นได้น้อยลงกว่าเดิมมาก
แต่ถึงอย่างไรถ้าหากว่าเราติดตามกันมาดีๆก็จะพบว่าเขาได้เงินปันผลมาเป็นจำนวนมหาศาลถึงหมื่นกว่าล้าน ! หลังจากทำการ Tender offer มาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2559 ที่เรียกว่ามีแต่ได้กับได้
หรือการตัดสินใจครั้งนี้ของคุณพิชญ์จะเป็นการเสียสละ ? หลังจะยอมปล่อยให้วอแรนท์หมดอายุและจะต้องเสีย“สัดส่วนการถือหุ้น” ไปบ้างจากเดิมที่ 54.99% ???
มือโปรของ Money game คิดจะทำอะไรอยู่กันแน่ ??
แต่ไม่ว่าจะเป็นในทางไหนผู้ถือหุ้น JAS ก็คงจะพอมีแรงกันบ้างเนื่องจากหลังจากที่มีข่าวมา ราคาหุ้นก็ดีดตัวขึ้นมาจาก3.84 บาทกลายมาเป็น 4.06 บาทกันมาสองวันติด
เรื่องนี้ ก็ต้องมาติดตามกันต่อไป
กับ “พิชญ์ โพธารามิก”
ผู้ที่สามารถสร้างเศรษฐีและยาจกมาแล้วนับไม่ถ้วนกับการเดินหมากใน Money game ของเขา
https://www.facebook.com/prberd/posts/3108653145857365?__xts__%5B0%5D=68.ARA9eTVA2dt8-2m-L_qsk4NO09ks2j1Rp-F0QBMBdnjwbYBAy5RRGcd2E_Bszxs8SCVK6gtu9P4QFHOfa-jycG9glseo5bw8C20mdI49rMb1Erg871_7LgdlXAeLh7GMwdyevl5SwJFYfub7ae6NuoyezwedR86Zy3BfRkgpa-GVz79JXVX-xBY9QTZ7JP3-5U-DVYlQLukdbVE22CTUWvVRndcdgQvp2K2OM0gi7S9o-U6jx5duve7Wi4W9dLf7B5y_83h2ZtYd8qMrXg-bl_Dkljm2O5wK_TQChft7_uOXQzatjAMhlO-HwoDqp1kFGze2EIgcsyyu3V5dLyqJbHHPFQ&__tn__=K-R