เปิดหุ้น 7 กลุ่ม รับผลกระทบแค่ไหน? หลังเมียนมาสั่งคุมเข้มเงินไหลออก

กูรู ประเมินบจ.ไทย หลังเมียนสั่งระงับจ่ายหนี้ตปท. เพื่อรักษาปริมาณทุนสำรอง เชื่อมีผลกับไทยไม่มาก เหตุเมียนมามีสัดส่วนการค้ากับไทยแค่ 0.85% พร้อมเปิดหุ้น 7 กลุ่มที่ทำธุรกิจกับเมียนมา จะได้รับผลกระทบแค่ไหน?
.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลงัจากวานนี้ ธนาคารกลางเมียนมาออกคำสั่งให้บริษัทและผู้กู้ยืมเงินรายย่อยระงับการชำระคืนหนี้เงินกู้ต่างประเทศ ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยไว้ก่อน เพื่อรักษาปริมาณทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่ลดลง ทำให้นักวิเคราะห์ ออกมาประเมินถึงผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากมีหลายบริษัทไปทำธุรกิจในเมียนมา
.
โดย Bloomberg เผยตั้งแต่เดือนเม.ย. ที่ผ่านมา รัฐบาลมีคำสั่งให้ผู้มีรายได้เป็นสกุลเงินต่างประเทศแปลงสกุลเงินของตนเป็นเงินจ๊าต (สกุลเงินท้องถิ่น) ที่อัตราอ้างอิงของธนาคารกลางที่ 1,850 จ๊าต/ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อป้องกันความผันผวนของสกุลเงินท้องถิ่น พร้อมทั้งห้ามนำเข้ารถยนต์ สินค้าฟุ่มเฟือย รวมถึงน้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันประกอบอาหารเพื่อรักษาปริมาณเงินสำรองระหว่างประเทศ
.
* ASPS ชี้กระทบไม่มาก เหตุเมียนมามีสัดส่วนการค้ากับไทยแค่ 0.85%
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (ASPS)เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยจึงทำการค้นหาข้อมูลการเปลี่ยนแปลงเงินทุนสำรองระหว่างประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่า เห็นการลดลงต่อเนื่องของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ หลังจากที่ Dollar แข็งค่าขึ้นมากในปีนี้
.
โดยเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทย ลดลงต่ำสุดนับตั้งแต่ปลายปี 2019 เหลือ 2.22 แสนล้านเหรียญ และลดลงมากสุดเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน -9.6%ytd ขณะที่ค่าเงินบาทอ่อนค่ามาแล้ว 10%ytd หากทุนสำรองยังลดลงต่อเนื่อง อาจมีแรงกดดัน Fund Flow ไหลออกจากตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นได้ เฉพาะอย่างยิ่งหุ้ที่นต่างชาติถือครองในสัดส่วนที่สูง และแนวโน้มผลประกอบการยังฟื้นตัวได้ไม่ดี จึงต้องติดตามประเด็นนี้อย่างใกล้ชิด
.
ในอีกมุมหากดูปริมาณการค้าระหว่างเมียนมากับไทย พบว่ามีมูลค่า 4.8 พันล้านเหรียญ (ข้อมูล ณ สิ้นปี 2021) โดยไทยเป็นประเทศคู่ค้ากับเมียนมาใหญ่สุดเป็นอันดับที่ 2 มีสัดส่วนราว 14% ของประเทศคู่ค้าทั้งหมด รองจากจีนมีมูลค่าการค้า 1.2 หมื่นล้านเหรียญสัดส่วน 36% ของประเทศคู่ค้าทั้งหมดในทางกลับกันเมียนมากลับมีสัดส่วนการค้ากับไทยเพียง 0.85% เท่านั้น (อยู่อันดับที่ 35 เมื่อเทียบประเทศคู่ค้าอื่นๆ) ดังนั้นประเด็นนี้น่าจะกระทบการค้าไทยจำกัด
.
* เปิดหุ้น 6 กลุ่ม ทำธุรกิจในเมียนมา รับผลกระทบแค่ไหน
เบื้องต้นฝ่ายวิจัย ASPS ทำการรวบรวมข้อมูลจากนักวิเคราะห์พื้นฐาน ว่ามีหุ้นอะไรที่ธุรกิจได้รับผลกระทบ “กรณีเมียนมาห้ามสั่งจ่ายหนี้ต่างประเทศ” ซึ่งมีรายละเอียดรายกลุ่มและรายบริษัทดังนี้
.
กลุ่มวัสดุก่อสร้าง
ผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างมีการส่งออกสินค้าไปเมียนมาอาทิ ปูนซีเมนต์ กระเบื้องเซรามิค และสินค้าวัสดุก่อสร้างอื่นๆ ในสัดส่วนไม่ถึง 5% ของยอดขายรวม โดยเป็นการค้าขายตามปกติ
.
ขณะที่ SCC ที่เคยมีโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ 1.8 ล้านตัน/ปี ได้ยุติธุรกิจดังกล่าวไปตั้งแต่ปี 63 จากข้อพิพาทกับพันธมิตรท้องถิ่นและได้เคยตั้งสำรองด้อยค่าสินทรัพย์ไปแล้ว 4,335 ล้านบาท โดยปี 63 ก่อนยุติธุรกิจโรงปูนซีเมนต์ในเมียนมา SCC มีรายได้จากธุรกิจปูนซีเมนต์ในเมียนมา คิดเป็น 0.7% ของรายได้รวม ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากเมียนมาน่าจะลดลงจนแทบไม่มีนัยสำคัญต่อ SCC
.
กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง
มี 4 บริษัทใน Coverage ของฝ่ายวิจัยที่มีความเกี่ยวข้องกับเมียนมา ได้แก่
- ITD ที่มีการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย โดยใช้เงินลงทุนไปแล้ว 7,843.6 ล้านบาท และได้ถูกรัฐบาลเมียนมายกเลิกสัมปทานตั้งแต่ 30 ธ.ค 63 โดยที่ ITD ยังไม่ได้มีการตั้งสำรองด้อยค่าโครงการดังกล่าว เพราะยังมีความมั่นใจว่าจะสามารถเจรจากับรัฐบาลเมียนมาได้
.
- NWR มีลูกหนี้ค่าก่อสร้างโรงแรมในพม่าคงค้างอีกประมาณ 191 ล้านบาท ซึ่งลูกหนี้จะทยอยชำระคืนเงินแก่ NWR ตั้งแต่ ธ.ค 65 ถึง ธ.ค 79 ตาม Projection กระแสเงินสดของโรงแรมดังกล่าวในอนาคต โดยปี 65 มีกำหนดชำระหนี้ 5 ล้านบาท
.
- TTCL มีการลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้า โดยถือหุ้น 40% ในโรงไฟฟ้า Ahlone#1 ขนาด 120MW และรับส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้า Ahlone#1 ประมาณ 100 ล้านบาท/ปี และอยู่ระหว่างการลงทุนโรงไฟฟ้า Ahlone#2 ขนาด 388MW โดยได้รับ PPA จากรัฐบาลเมียนมาตั้งแต่ปี 64 แต่ปัจจุบันยังไม่สามารถหาแหล่งเงินกู้ได้
.
- SEAFCO มีบริษัทลูกในเมียนมาคือ SEAFCO(Myanmar) โดยถือหุ้น 80% ปัจจุบันไม่มีการรับงานในเมียนมาแล้ว โดยมีเครื่องจักรทำเสาเข็ม 3 ชุด รถเครน 4 คัน และรถแบ็ดโฮ ที่รอขายหรือนำกลับประเทศไทย
.
กลุ่มเครื่องดื่ม
– OSP(ราคาเป้าหมาย 37 บ.) โดยพิจารณายอดขายปี 54 ราว 2.7 หมื่นล้านบาท มีสัดส่วนยอดขายจากต่างประเทศประมาณ 4.3 พันล้านบาท (สัดส่วน 16% ของยอดขาย, +17% YoY) ส่วนใหญ่มาจากเมียนมา จึงประเมินยอดขายจากเมียนมาอยู่ในระดับ 10% ของยอดขาย ซึ่งส่วนนี้หลักๆ แล้วขายเป็นสกุลเงินเมียนมา ผ่าน บ. ย่อยในเมียนมา (OSP ถือหุ้นรวมกัน 85%)
.
จึงมองผลกระทบในส่วนของยอดขายจากการมาตรการของ ธนาคารกลางเมียนมา ค่อนข้างจำกัด แต่ปัจจัยด้านกำลังซื้อของผู้บริโภคในเมียนมาร์และการจัดเก็บเงินจากคู่ค้า รวมถึงสถานะการค่าเงินเมียนมา ยังต้องติดตามต่อไป ทั้งนี้ งวด Q1/65 ยอดขายต่างประเทศยังเติบโตดี 17.8% YoY ท่ามกลางความอ่อนแอของเศรษฐกิจเมียนมาหลังผ่านการรัฐประหารในช่วงต้นปี 64
.
-นอกจากนี้ OSP มีเงินกู้ยืมสกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ ผ่าน บ. ร่วม (2 บริษัท ถือหุ้น 35% ในโรงงานผลิตขวดแก้ว และ 51.8% ธุรกิจจำหน่ายขวดแก้ว) ในเมียนมา เบื้องต้นจากการสอบถามไปยังบริษัทฯ บ. ร่วม มีภาระหนี้ประมาณ 30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นการกู้ยืมจากสถาบันการเงินไทย (ชำระเงินกู้ครั้งเดียวในอีก 7 ปีข้างหน้า) แม้ภาระหนี้ตามสัดส่วนการถือหุ้น ไม่เกินระดับ EBITDA ของ OSP ที่ราว 5 พันล้านบาทต่อปี (สถานะการเงิน ณ สิ้นงวด Q1/65 เป็น Net cash ราว 3 พันล้านบาท)
.
อย่างไรก็ตาม OSP อยู่ระหว่างบริหารจัดการภาระดอกเบี้ยจ่ายส่วนนี้ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมมากสุด ผ่านการเจรจากับสถาบันการเงิน ภาพรวมยังคงประมาณการกำไรปี 64 ที่ 3.25 พันล้านบาท สำหรับ CBG เนื่องจากฝ่ายวิจัยไม่ได้ Coverage โดยโครงสร้างรายได้ปี 64 ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท ราว 33% มาจากการส่งออกไปยัง CLMV แต่โครงสร้างการขายมาจากกัมพูชาเป็นหลัก จึงคาดว่ายอดขายจากเมียนมาจะอยู่ในระดับประมาณ 10% ของยอดขาย
.
กลุ่มธนาคารและการเงิน
หากอิงจากมูลค่าการส่งออกจากไทยไปยังเมียนมา ราว 1% ของมูลค่าการส่งออก เบื้องต้นจึงประเมินผลส่วนนี้จำกัด ส่วนหุ้นในกลุ่มการเงิน อย่าง AEONTS (ราคาเป้าหมาย 250 บ.) จะได้รับผลกระทบจำกัด เพราะหลังจากรัฐประหารในพม่าเมื่อ ก.พ.64 AEONTS กํได้หยุดปล่อยสินเชื่อในพม่าแล้ว จนปัจจุบันแทบไม่มีสินเชื่อคงค้างในพม่าแล้ว
.
กลุ่มพลังงาน
- PTTEP (ราคาเป้าหมาย 175 บ.) มีโครงการในเมียนมา อาทิ ซอติก้า, ยาดานา และ เยตากุน เป็นต้น แต่ไม่มีรายการเงินกู้ต่างประเทศสำหรับโครงการในเมียนมา ดังนั้นจึงไม่มีผลกระทบต่อบริษัท ส่วนในด้านรายรับจากโครงการในเมียนมา ทาง PTTEP รับเงินจาก PTT โดยตรงเป็น USD เข้าบัญชีในประเทศไทย
.
ดังนั้นไม่มีความเสี่ยงเรื่องการรับเงินหรือการถูกบังคับให้แปลงเป็นเงินจ๊าด เช่นเดียวกับในด้านรายจ่าย การจ่ายเงินในเมียนมาเป็นจ๊าดทำในประเทศเมียนมา โดยการแปลงเงิน USD เป็นจ๊าด สำหรับรายจ่ายของโครงการเมียนมาที่เป็นสกุลต่างประเทศ จะทำจ่ายจากบัญชีนอกประเทศเมียนมา ดังนั้นยังสามารถบริหารจัดการได้ตามปกติ
.
กลุ่มชิ้นส่วน
- DELTA (ราคาเป้าหมาย 280 บ.) มีโรงงานอยู่ในประเทศพม่า พื้นที่การผลิต 4.5 พันตารางเมตร หรือคิดเป็น 2% ของพื้นที่โรงงานทั้งหมดทั้งในและต่างประเทศของ DELTA โดยโรงงานดังกล่าวผลิตชิ้นส่วนขั้นกลาง แล้วส่งมาประกอบต่อในไทยเป็นหลัก จึงประเมินว่าจะได้รับผลกระทบจำกัด เพราะไม่ได้มีรายได้จากการขายภายนอกมากนัก
.
*KTBST ชี้ MEGA - OSP - CBG มีสัดส่วนรายได้จากเมียนมามากสุด
บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า มีมุมมองเป็นกลางจากประเด็นข้างต้น วานนี้ (18 ก.ค.22) ราคาหุ้นกลุ่มบริษัทฯที่ประกอบธุรกิจในเมียนมาได้ปรับตัวลง ได้แก่ MEGA (-10%), CBG (-3%), SAPPE (-3%), OSP (-2%)
.
ทั้งนี้ได้สอบถามไปยังบริษัทฯต่างๆที่ประกอบธุรกิจในเมียนมา เรามองว่าประเด็นข้างต้นไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสาคัญต่อผลประกอบการของ
บริษัทฯ ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาเป็นจังหวะให้เข้าสะสมหุ้นกลุ่มข้างต้น
.
โดย KTBST ชอบ MEGA (ซื้อ/เป้า 67.00 บาท) จากแนวโน้มกำไรที่จะทำสถิติสูงสุดใหม่ตั้งแต่ Q2/65 เป็นต้นไป ได้อานิสงส์ค่าเงินบาทอ่อนและผู้บริโภคที่ health conscious มากขึ้นหนุนการเติบโต
.
ทั้งนี้ บริษัทที่มีสัดส่วนรายได้จากเมียนมาอย่างมีนัยสำคัญ เรียงตามลำดับสัดส่วนรายได้ในเมียนมาจากมากไปน้อย ได้แก่ MEGA (ซื้อ/ เป้า 67.00 บาท), OSP (ถือ/ เป้า 37.00 บาท) , CBG (ถือ/ เป้า 107.00 บาท)
.
สำหรับบริษัทที่มีผลการดำเนินงานในเมียนมา แต่สัดส่วนรายได้ไม่มีนัยสำคัญ ได้แก่ AEONTS (ซื้อ/ เป้า 200.00 บาท), AMATA (ซื้อ/ เป้า 23.50 บาท), CPF (ซื้อ/ เป้า 30.00 บาท) , SAPPE (NR) , TVO (ถือ/ เป้า 33.50 บาท), PTTEP (ซื้อ/ เป้า 190.00 บาท) และ SCC (ซื้อ/เป้า 440.00 บาท)
.
* กลุ่มโรงพยาบาลอาจโดนหางเลข จากคนไข้เมีนมาลด
บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า จะทำให้บริษัทจดทะเบียนมีความเสี่ยงต่อการทำธุรกิจในพม่าเพิ่มขึ้น MEGA มีสัดส่วนรายได้จากเมียนมาราว 35%, กลุ่มเครื่องดื่ม อาทิ CBG และ OSP มีสัดส่วนรายได้ในพม่าราว 10% ส่วน BH และ BDMS อาจกระทบผู้ป่วยชาวพม่าที่เดินทางเข้ามารักษาในไทย แต่ผลกระทบจำกัดมาก เนื่องจากผู้ป่วยชาวพม่าที่เข้ารักษาในไทยมักจะมีการนำเงินสดสกุลจ๊าตเข้ามาชำระ
.
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า อาจกระทบต่อหุ้นที่มีรายได้ในพม่าบ้าง อาทิ CBG , OSP (10% ของรายได้รวม) ทั้งนี้มองราคาหุ้นเมื่อวานปรับลงมาสะท้อนไปบ้าง และหากประเมินที่สัดส่วนรายได้พบว่าเพียงแค่ 10% จึงมองเป็นโอกาสสะสมมากกว่าและปัจจุบันกำลังได้ประโยชน์จากต้นทุนอลูมิเนียมที่ลดลง
.
พร้อมแนะสะสม CBG มองราคาหุ้นปรับฐานสะท้อนไปพอสมควร ราคาเป้าหมาย 125.00 บาท กำไรครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นจำกการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 2-3 รายการ บวกกับรายได้การจำหน่ายสุราที่โตดี การปรับราคาขายส่ง 1%-3% ใน 2Q22 ปริมาณขายเครื่องดื่มชูกำลังในไทยที่พุ่งสูงขึ้น และยอดขายใน CLMV รวมถึงจีนที่ฟื้นตัวขึ้น
***********************************
