นักเศรษฐศาสตร์ ห่วงไทยติด ’บ่วง‘ทรัมป์ 2.0 กระทบลากยาว ถึงปีหน้า
ไทยติด‘บ่วง’นโยบายทรัมป์2.0‘ศุภวุฒิ’ ชี้เสี่ยงถูกขึ้นกำแพงภาษี รับผลกระทบลากยาวถึงปีหน้า หวั่นเศรษฐกิจไทยกลับไปโตระดับ 3-5% “ยาก”

ท่ามกลางนโยบายของทรัมป์ 2.0 สั่นสะเทือนไปทั่วโลก จากการมาของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐสมัยที่ 2 ที่วันนี้จากหลายนโยบายทำให้โลกเผชิญความไม่แน่นอน ความปั่นป่วนมากขึ้น และมีกระทบต่อทุกประเทศทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย ที่อาจเจอโจทย์ยากมากกว่าที่คิดภายใต้โลกป่วน
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) กล่าวในงาน Prachachat forum : NEXT MOVE Thailand 2025 ว่า
ปัจจุบันประเทศไทยเผชิญโจทย์ท้าทาย ทั้งที่มีอยู่ต่อเนื่องก่อนหน้าทรัมป์ 2.0 คือสูญเสียความสามารถแข่งขันในภาคเกษตรที่ผลผลิตโตต่ำเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ขาดแคลนแรงงาน
ไม่เพียงเท่านั้นยังอยู่ท่ามกลาง “โจทย์ใหม่” ที่จะต้องเผชิญในอีก 7 วันข้างหน้า จากการประกาศนโยบายทรัมป์ที่จะขึ้นกำแพงภาษี 2 เม.ย.นี้ ดังนั้น ประเทศไทยยังอยู่กับ “บ่วง” เหล่านี้ ภายใต้ความไม่แน่นอนสูงมาก สิ่งเหล่านี้น่าห่วง เพราะเป็นผลกระทบต้องเผชิญทั้งปีนี้และปีหน้า
ทั้งนี้ ไทยคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการขึ้นกำแพงภาษีจากสหรัฐได้ โดยมองไทยอาจถูกเก็บภาษีระดับหนึ่ง ที่อาจนำไปสู่การเจรจาในท้ายที่สุดและเชื่อคงมีผลกระทบที่มีนัยสำคัญจากการพึ่งพาส่งออกไปสหรัฐที่วันนี้สูงถึง 9% ของจีดีพี
กลับมาที่โจทย์ของไทย วันนี้ไทยยังติดอยู่กับโจทย์เดิมที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขคือ เศรษฐกิจไทยขยายตัวในอัตราที่ช้าลงไปเรื่อยๆ และปัญหาระยะยาวยังคงเป็นปัญหามาจากด้านอุปทาน ไม่ใช่ปัญหาดีมานด์ ด้านที่สอง ไทยมีปัญหาจากสังคมสูงวัยที่วันนี้อายุ 60 ปีขึ้นไปมี 12.5 ล้านคน และใน 15 ปี กลุ่มนี้จะเพิ่มเป็น 20 ล้านคน
ดังนั้น การทำให้เศรษฐกิจไทยโตระยะข้างหน้า ต้องอาศัยลงทุนแรงงาน การศึกษา และเทคโนโลยี การลงทุนใช้เทคโนโลยี ด้านเกษตรให้มีศักยภาพ มีความสามารถแข่งขันมากขึ้น
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า โลกกำลังอยู่ภายใต้ความท้าทาย 4 เรื่องใหญ่ ทั้งโลกาภิวัตน์ Geopolitics ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ นโยบายทรัมป์2.0 รวมถึงการมาของเทคโนโลยี
ดังนั้น ไทยกำลังเจอกับความท้าทายทั้งข้างนอกและข้างใน จากการเปลี่ยนของระเบียบโลกที่จะทำให้เราเจอแรงกดดันผลกระทบที่มากขึ้น ดังนั้น สิ่งที่ไทยกำลังเผชิญคือ การแข่งขันเพิ่มมากขึ้นจะทำเหมือน 30 ปีก่อนไม่ได้แล้ว
ขณะเดียวกัน ไทยยังเผชิญกับการโตช้าลงเรื่อยๆ และโอกาสที่จะกลับไปโตที่ 3-5% ยากมาก เพราะแรงกดดันที่เผชิญวันนี้มันหนักมากขึ้น แรงกดดันมากที่สุดคือโครงสร้างประชากร จากปัญหาโครงสร้าง ดังนั้น สิ่งที่ทำได้คือ ต้องเพิ่มการลงทุน
โจทย์ที่ 2 คือ เร่งปรับปรุงพัฒนาด้านการเกษตร และภาคบริการ ที่เป็นโจทย์สำคัญที่สุด ปัจจุบันภาคเกษตรคิดเป็น 8% ของจีดีพี จะเพิ่มขึ้นไม่ได้หากไม่เพิ่มการลงทุน ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำคือ ลงทุนเพิ่มขึ้นทั้งในประเทศ และดึงการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามา
ดร.สันติธาร เสถียรไทย Future Economy Advisor สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (TDRI) และกรรมการในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวว่า ปัญหาภูมิศาสตร์ คือความไม่แน่นอน ความผันผวน ภูมิรัฐศาสตร์ที่เข้มข้นขึ้น ทำให้การแข่งขันเข้มข้นขึ้น และสงครามการค้าของโลกคือ สงครามธุรกิจของเรา เหล่านี้จะกลายเป็น “Norm” ที่สำคัญมากๆ ภายใต้สงครามการแข่งขันทุกวงการที่เข้มข้นขึ้น
ต้องหาจุดยืนให้ถูกที่ เพราะแม้ปัจจุบันเราจะเป็นที่หนึ่งของวงการ แต่เราอาจไม่รอดก็ได้ หากเรายืนอยู่ผิดวงการผิดที่ ถ้าเราผิดที่ ผิดเวลาเราแพ้ได้เสมอถึงแม้เราจะค่อนข้างเก่ง ต้อง “สร้าง” เวลูให้ไทยไม่ใช่เป็นเพียงทางผ่านของจีน “กว้าง” ไทยต้องกว้างขึ้น ใหญ่ขึ้นไม่ใช้มองเฉพาะในประเทศ ต้องครบเพื่อนให้กว้างขึ้น “ไกล” ไม่ใช่แค่เก่ง แต่ต้องมองว่าอะไรคือจุดแข็ง และวันนี้โลกกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยคือเกมอนาคตที่ไทยต้องปักธงหรือไม่
ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร์ รองคณบดี ด้านงานวิชาการ คณะนิติศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การกีดกันการค้าของทรัมป์กับจีน เพื่อต้องการลดบทบาทจีนลง อาจทำให้จีนทุ่มไปสู่ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และซีกโลกใต้มากขึ้น ทำให้จะเห็นทุนจีนและสินค้าจีนไหลบ่า ไหลทะลักท่วมตลาดที่รุนแรงขึ้นในยุคของทรัมป์
ดังนั้น ภายใต้สงครามทำอย่างไรให้ไทยเปลี่ยนมาเป็นการตั้งรับคลื่นการไหลของสินค้าจีนที่จะเข้าไทย และหาโอกาสใหม่ หาจุดเติบโตใหม่ให้กับประเทศ ดังนั้น มองไทยต้องมูฟจาก Reactive เป็น Proactiveการมีกลยุทธ์เชิงรุกมากกว่าการตั้งรับ ต้องหา New Big Idea ในโลกที่กำลังถูกเขย่าอย่างแรง
https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1172956