จากประชาชาติธุรกิจ http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1494999698
********* ลุ้น "ไทยเบฟ" เทรดกระดานไทย
นายสันติกล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯได้ไปหารือกับบริษัทไทยที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นต่างประเทศ เพื่อชักจูงให้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยแบบควบสองตลาด (Dual Listing) โดยพบว่ามีบริษัทที่เข้าข่ายอยู่ราว 3-5 บริษัท มาร์เก็ตแคป 1 หมื่นล้านบาทขึ้นไป ซึ่งหนึ่งในนั้นมีบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ของกลุ่มนายเจริญ สิริวัฒนภักดี โดยเบื้องต้นทางไทยเบฟฯก็มีความสนใจจะเข้ามาซื้อขายใน ตลท. แต่การกลับมาครั้งนี้อาจจะต้องใช้ความรอบคอบในการให้ข้อมูลมากขึ้น
"ความจริงไทยเบฟฯเองก็ไม่ได้อยากไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นสิงคโปร์ตั้งแต่แรก เพราะทำธุรกิจอยู่ในประเทศไทย ชื่อเสียง ความรู้จักในประเทศไทยก็มากกว่า แต่เพราะในครั้งนั้นมีประเด็นโต้แย้งเรื่องธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จึงทำให้จดทะเบียนไม่ได้ แต่ครั้งนี้หลาย ๆ อย่างเปลี่ยนไป โดยเฉพาะโครงสร้างธุรกิจของไทยเบฟฯที่มีสัดส่วนการขายสินค้าที่ไม่มีแอลกอฮอล์เยอะขึ้น ดังนั้นก็ไม่ใช่ธุรกิจสีเทา ซึ่งจริง ๆ แต่เดิมเขาก็ไม่ใช่ธุรกิจสีเทาอยู่แล้ว"
นายสันติกล่าวว่า น่าจะใช้เวลาราว 2-3 ปีนับจากนี้ กว่าจะเริ่มเห็นบริษัทไทยที่ซื้อขายในตลาดหุ้นต่างประเทศเข้ามาจดทะเบียนแบบ Dual Listing และหลังจากนั้นเชื่อว่าหากบริษัทเหล่านี้ซื้อขายในตลาดไทยจนมีปริมาณการซื้อขายระดับหนึ่ง ก็อาจเกิดการตัดสินใจย้ายเข้ามาจดทะเบียนใน ตลท.เพียงแห่งเดียว และเพิกถอน (ดีลลิสต์) ออกจากตลาดต่างประเทศก็ได้
********* บิ๊กซีเดินหน้าขยายการลงทุน
สำหรับแผนลงทุนปี 2560 นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ระบุว่า ปีนี้เตรียมงบฯลงทุนของบีเจซี และบิ๊กซีไว้ 10,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบฯที่ตั้งไว้และสามารถโยกไปมาได้ แบ่งเป็น บิ๊กซีประมาณ 6,000-8,000 ล้านบาทและบีเจซี 4,000 ล้านบาท ซึ่งจะขยายสาขาทุกโมเดล ทั้งขนาดใหญ่ไฮเปอร์มาร์เก็ต 9-10 สาขา ขนาดกลางหรือบิ๊กซี มาร์เก็ตเกือบ 10 สาขา มินิบิ๊กซีอีก 200-400 สาขา
"ถือเป็นการขยายสาขามากที่สุด เทียบ 3-4 ปีที่ผ่านมา เป็นเป้าที่ท้าทาย แต่ต้องการให้เป็นทางเลือกให้กับคู่ค้าในการนำสินค้าเข้ามากระจายและนำบริการต่าง ๆ ไปให้ถึงท้องถิ่นมากขึ้น"
สำหรับรายได้รวมบิ๊กซี (จากการขายสินค้า ค่าเช่าที่ และอื่น ๆ) ในไตรมาส 1 อยู่ที่ 27,988 ล้านบาท ลดลง 4,903 ล้านบาท หรือ -14.9% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้จากการขายสินค้าลดลง -16.5%โดยเฉพาะยอดขายสาขาเดิมลดลง -20% อย่างไรก็ตาม บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,572 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65 ล้านบาท หรือ 4.3% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน