ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดบวก 147.16 จุด จับตาผลประกอบการ Nvidia

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันพุธ (27 ส.ค.) ส่วนดัชนี S&P500 ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ก่อนที่บริษัทอินวิเดีย (Nvidia) จะเปิดเผยผลประกอบการ โดยตลาดจับตาผลประกอบการของบริษัทผลิตชิปรายใหญ่แห่งนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางของหุ้นบริษัทต่าง ๆ ที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI)
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 45,565.23 จุด เพิ่มขึ้น 147.16 จุด หรือ +0.32%,
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,481.40 จุด เพิ่มขึ้น 15.46 จุด หรือ +0.24%
และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,590.14 จุด เพิ่มขึ้น 45.87 จุด หรือ +0.21%
หุ้นอินวิเดียซึ่งเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกและเป็นผู้ผลิตชิป AI ที่ทันสมัยที่สุด แกว่งตัวขึ้นลงก่อนจะปิดขยับลง 0.1% ก่อนที่บริษัทจะเปิดเผยผลประกอบการหลังตลาดปิดทำการ
ทั้งนี้ เนื่องจากหุ้นอินวิเดียมีสัดส่วนประมาณ 8% ในดัชนี S&P500 ผลประกอบการของบริษัทจึงมีผลกระทบต่อนักลงทุนในสหรัฐฯ จำนวนมากที่ใช้กองทุนรวมดัชนีเพื่อการออมเงินสำหรับวัยเกษียณ นอกจากนี้ ผลประกอบการของอินวิเดียยังอาจบ่งชี้ว่าบริษัทได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ มากเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีรายงานว่าอินวิเดียต้องแบ่งรายได้จากการขายชิปในประเทศจีนให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ
หุ้นบริษัทเทคโนโลยีและ AI เคลื่อนไหวแบบผสมผสาน โดยหุ้นไมโครซอฟท์ (Microsoft) ดีดตัวขึ้นเกือบ 1% ขณะที่หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ (Meta Platforms) ปรับตัวลงเกือบ 1% ซึ่งบริษัทเหล่านี้รวมถึงอัลฟาเบท (Alphabet) และอะเมซอน (Amazon) ต่างก็เป็นลูกค้ารายใหญ่ของอินวิเดีย
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถูกเทขาย ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI หลังจากแซม อัลต์แมน ซีอีโอของบริษัทโอเพนเอไอ (OpenAI) ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า หุ้นกลุ่มนี้กำลังอยู่ในภาวะฟองสบู่
หุ้น 8 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 1.15% ตามด้วยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีบวก 0.5% ส่วนหุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสารและกลุ่มเฮลธ์แคร์ปรับตัวลงราว 0.1%
นักลงทุนยังคงติดตามข่าวประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่สั่งปลดลิซา คุก สมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งเป็นการดำเนินการที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และสะท้อนให้เห็นว่าปธน.ทรัมป์กำลังยกระดับการโจมตีความเป็นอิสระของเฟด หลังจากเฟดปฏิเสธที่จะลดอัตราดอกเบี้ยตามความต้องการของเขา
อย่างไรก็ดี กฎหมายว่าด้วยธนาคารกลางสหรัฐ ระบุว่า ประธานาธิบดีสามารถปลดผู้ว่าการเฟดก็ต่อเมื่อ "มีเหตุผลอันควร" เท่านั้น ซึ่งบ่งชี้ว่าคำสั่งของปธน.ทรัมป์ในการปลดลิซา คุก อาจจะต้องต่อสู้กันในชั้นศาล
สำหรับการแสดงความเห็นล่าสุดของเจ้าหน้าที่เฟดนั้น จอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์กกล่าวว่า หากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจดำเนินไปในทิศทางที่เขาคาดหวังไว้ ภายใต้เป้าหมายการจ้างงานเต็มศักภาพ และการรักษาเสถียรภาพด้านเงินเฟ้อ เขาก็คิดว่าเป็นการเหมาะสมที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่การตัดสินใจดังกล่าวต้องขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจ